จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

AD Corruption Censored.wmv

วันอังคารที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2554

การประหยัดพลังงาน

คู่มือประหยัดพลังงานในหน่วยงาน

คู่มือลดการใช้พลังงานสำหรับราชการและรัฐวิสาหกิจ ปี 2546
คู่มือลดการใช้พลังงานสำหรับราชการและรัฐวิสาหกิจ ปี 2547
ผลประหยัดมาตรการปิดแอร์ตอนเที่ยง

เอกสารเผยแพร่
108 วิธีปฏิบัติเพื่อการประหยัดพลังงาน
การประหยัดพลังงานในสถานที่ทำงาน
10 บัญญัติประหยัดน้ำมัน
11วิธีประหยัดค่าแอร์โดยไม่ต้องลงทุน
9 วิธีใช้เครื่องปรับอากาศ
การประหยัดพลังงานในการเดินทางโดยรถยนต์
การออกแบบอาคารที่เหมาะสมกับสภาวะแวดล้อม
ความรู้พื้นฐานด้านพลังงาน
ความรู้เรื่องไฟฟ้า เชื้อเพลิง ประปา ขยะ
พลังงานทดแทน เอทานอลและไบโอดีเซล
ไฟฟ้าแสงสว่าง
รวมพลังน้ำหารสอง
สาระวิธีประหยัดไฟ
อุปกรณ์สำนักงาน
เครื่องใช้ไฟฟ้า
เครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้า
เครื่องปรับอากาศที่ใช้ในที่พักอาศัย
เครื่องปั๊มน้ำ
เซลล์แสงอาทิตย์
ตู้เย็นพาณิชย์
เตาก๊าซและเตาอบ
เตารีดไฟฟ้า

อริยสัจ 4

อริยสัจ ๔ ประการ
อริยสัจ ๔ ประการนี้ เป็นหลักคำสอนที่สำคัญของพระพุทธเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงแสดงไว้อย่างชัดเจนในธรรมจักกัปปวัตนสูตรโปรดปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ปัจจุบันนี้เรียกว่า "สารนาถ" ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ที่เราเรียกวันนี้ว่า "อาสาฬหบูชา"พระธรรมเทศนากัณฑ์นี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ปฐมเทศนา" คือ การเทศกัณฑ์แรกของพระพุทธเจ้าหลังจากตรัสรู้แล้ว ปฐมเทศนามีหลักฐานอยู่ในพระไตรปิฎกอย่างสมบูรณ์

คำว่า "สัจจะ" แปลว่า ความจริง มี ๔ ประการ คือ

๑. สมมุติสัจ ความจริงโดยการสมมุติ คือความจริงที่ไม่เป็นจริง เพียงแต่เราสมมุติขึ้นเท่านั้น

๒. สภาวสัจ ความจริงโดยสภาวะ คือความจริงที่เป็นจริง ซึ่งได้มาจากการค้นคว้าวิจัย ทดลองจนสามรถนำมาใช้ประโยชน์ได้ เป็นต้น

๓. อันติมสัจ ความจริงขั้นสุดท้าย หมายถึงความจริงที่ได้วิเคราะห์จนถึงที่สุดแล้วไม่มีอะไรจริงยิ่งไปกว่านั้น

๔. อริยสัจ ความจริงอันประเสริฐทำให้ผู้ปฏิบัติหลุดพ้นจากกองกิเลสทั้งหลายกลายเป็นหระอริยเจ้า

อริยสัจ มีความจริงอยู่ ๔ ประการ ได้แก่

๑. ทุกข์ การมีอยู่ของทุกข์ ความไม่สบายกายไม่สบายใจ ที่ชื่อว่าทุกข์เพราะทนได้ยาก

๒. สมุทัย เหตุเกิดทุกข์ ได้แก่ตัณหา คือความทะยานอยาก

๓. นิโรธ ความดับทุกข์ ได้แก่ดับตัณหาให้สิ้นเชิง

๔. มรรค ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ได้แก่อริยมรรค ๘ ประการ

[แก้ไข] อริยสัจข้อที่ ๑ : ทุกข์
"ทุกข์" คือ การมีอยู่ของทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ และตายล้วนเป็นทุกข์ ความเศร้าโศก ความโกรธ ความอิจฉาริษยา ความวิตกกังวล ความกลัวและความผิดหวังล้วนเป็น ทุกข์ การพลัดพรากจากของที่รักก็เป็นทุกข์ ความเกลียดก็เป็นทุกข์ ความอยาก ความยึดมั่นถือมั่น ความยึดติดในขันธ์ทั้ง 5 ล้วนเป็นทุกข์

คำว่า "ทุกข์" นี้ ตามความหมายทั่วไป ก็หมายถึงความทุกข์ทรมาน ความเจ็บปวดความโศกเสร้า เสียใจ แต่คำว่าทุกข์ใน อริยสัจข้อที่ ๑ นี้ เป็นความทุกข์ที่แฝงทัศนะทางพุทศาสนาเกี่ยวกับชีวิตและโลกเอาไว้ ย่อมมีความหมายทางปรัชญาที่ลึกซึ้งกว่า เป็นที่ยอมรับกันว่า คำว่า ทุกข์ ในอริยสัจ ข้อที่ ๑ นั้น รวมถึงความหมายของทุกข์ตามปรกติธรรมดา เช่น ทุกข์ทรมาน ความเจ็บ ปวด เข้าไว้ด้วย และรวมถึงความคิดที่ลึกซึ้งเข้าไปด้วยกันด้วย เช่น ความไม่แน่นอน ความว่างเปล่า ความไม่สมหวัง ความไม่มีแก่นสาร เป็นต้น พระพุทธเจ้าทรงตรัสทุกข์ไว้ในธรรมจักกัปปวัตนสูตร ตอนที่ว่าด้วยอริยสัจได้แบ่งทุกข์ออกเป็น ๒ ประการคือ

๑. สภาวทุกข์ ทุกข์ประจำ ได้แก่ ความเกิด ความแก่ และความตาย เป็นทุกข์

๒. ปกิณณกทุกข์ ทุกข์จร ได้แก่ ความเศร้าโศก เสียใจ ร่ำไห้ รำพัน ความผิดหวัง เป็นทุกข์

[แก้ไข] อริยสัจข้อที่ ๒ : สมุทัย
สมุทัย คือ เหตุเกิดทุกข์ อันเกิดจากตัณหาคือ ความอยากที่มีอยู่ในจิตใจของแต่ละคนทำให้คนเกิดทุกข์ในขณะที่ลิทธิต่าง ๆสอนว่า ความทุกข์นั้นเกิดจากพระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นใหญ่บนสวรรค์ บันดาลให้มนุษย์เป็นไปต่าง ๆ กัน แต่พระพุทธเจ้าทรงชี้ไปที่ตัณหา คือความอยากเท่านั้นว่าทำให้คนเกิดทุกข์

ตัณหา ๓ ได้แก่

ก. กามตัณหา อยากได้กามคุณ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ จัดเป็นกามตัณหา

ข. ภวตัณหา อยากได้ในภาวะของตัวตนที่จะได้จะเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง

ค. วิภวตัณหา อยากไม่ให้มี อยากไม่ให้เป็น เช่น อยากหนีภาวะที่คับแค้น

[แก้ไข] อริยสัจข้อที่ ๓ : นิโรธ
นิโรธ คือ ความดับทุกข์ การสละ การสลัดออก การเข้าใจความจริงของชีวิตนำไปสู่การดับความเศร้า โศกทั้งมวล อันยังให้เกิดความสงบและความเบิกบาน




[แก้ไข] อริยสัจข้อที่ ๔ : มรรค
มรรค แปลว่า หนทาง หมายถึงข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ มรรคนี้เป็นทางสายกลางที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา เพราะมีทางปฏิบัติที่แตกต่างกันออกไปคือ

๑.ประเภทที่หย่อนเกินไป ร่างกายและจิตใจหมกมุ่นมัวเมาอยู่ในกามารมณ์ เรียนว่า กามสุขัลลิกานุโยค

๒. ประเภทที่ตึงเกินไป มีการทรมานตนให้ได้รับความลำบาก ทุกข์ทรมานอย่างหนักเรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค

การบำเพ็ญทั้งสองวิธีนี้ พระพุทธเจ้าได้ทรงทดลองมาแล้วตอนบำเพ็ญทุกรกิริยาก่อนตรัสรู้ เมี่อทดลองจนถึงที่สุดแล้ว ก็ไม่พ้นทุกข์จึงได้ค้นพบวิธีปฏิบัติใหม่ ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่หย่อนเกินไป และไม่ตึงเกินไป เป็นการปฏิบัติอยู่ในสายกลาง ทางสายกลางนี้เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา ซึ่งประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ คือ

๑. ความเห็นชอบ

๒. ความดำริชอบ

๓. การเจรจาชอบ

๔. การงานชอบ

๕. เลี้ยงชีพชอบ

๖. พยายามชอบ

๗. ระลึกชอบ

๘. ตั้งใจชอบ


อริยสัจทั้ง ๔ ประการนี้ ถือว่าเป็นหลักคำสอนที่คลุมธรรมทั้งหมด โดยเฉพาะทางสายกลางทั้งหมดนี้ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงแสดงสายกลางนี้ตลอดมาเป็นระยะเวลานาน แก่บุคคลหลายประเภทที่แตกต่างกัน ตามกำลังสติปัญญาและความสามารถของแต่ลบุคคลที่จะเข้าใจและปฏิบัติตามพระองค์ได้การปฏิบัติตามมรรค ๘ ประการ หรือทางสายกลางนี้ต้องทำให้เกี่ยวเนื่องกันครบทุกข้อ แต่ละข้อเป็นทางปฏิบัติที่ สัมพันธ์กัน มรรคทั้ง ๘ ประการนี้ มีจุดมุ่งหมายอยู่ที่การอบรมฝึกฝนตนตามหลักสูตรของพระพุทธศาสนาซึ่งมีสาระอยู่ ๓ ประการ คือ

ก. การประพฤติตามหลักจรรยา (ศีล)

ข. การฝึกฝนอบรมทางใจ (สมาธิ)

ค. การให้เกิดความรู้อย่างแท้จริง (ปัญญา)

[แก้ไข] หลักการรู้อริยสัจ ๔
การรู้อริยสัจนั้น จะต้องมีหลักเกณฑ์ในการรู้ที่แน่นอนตายตัว การรู้อริยสัจที่ถือว่าจบเกณฑ์นั้น จะต้องรู้ ๓ รอบ รู้ในญาณทั้ง ๓ คือ สัจจญาณ กิจจญาณ และกตญาณ เรียกว่า ปริวัติ ครั้งละ ๔ รวมเป็น ๑๒ ครั้งดังนี้

รอบที่ ๑ สัจจญาณ คือรู้ว่า

๑. ทุกข์มีจริง ชีวิตคลุกเคล้าด้วยควมทุกข์จริง

๒. สมุทัย เป็นเหตุเกิดทุกข์จริง

๓. นิโรธ ความดับทุกข์มีจริง

๔. มรรค เป็นทางไปสู้ความดับทุกข์จริง

รอบที่ ๒ กิจจญาณ คือรู้ว่า

๑. ทุกข์ เป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้

๒. สมุทัย เป็นสิ่งที่ควรละ

๓. นิโรธ ความดับทุกข์ควรทำให้แจ้งขึ้นในใจ

๔. มรรค ควรบำเพ็ญให้เกิดขึ้น

รอบที่ ๓ กตญาณ คือรู้ว่า

๑. ทุกข์ เราได้กำหนดรู้แล้ว

๒. สมุทัย เราได้ละแล้ว

๓. นิโรธ เราได้ทำให้แจ้งแล้ว

๔. มรรค เราได้บำเพ็ญให้เกิดมีครบถ้วนแล้ว

การดูแลต้นไม้

วิธีการดูแล ต้นไม้ที่ใช้ประดับภายในอาคาร



ปัจจุบันการนำไม้ดอกไม้ประดับมาประดับตกแต่งบ้านเรือน สำนักงานและสถานที่ต่าง ๆ ได้รับความนิยมมากขึ้นทุกขณะ เนื่องจากโลกมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นด้านวัตถุและเทคโนโลยี ทำให้ชีวิตมนุษย์ห่างไกลจากธรรมชาติมากขึ้น พื้นที่สีเขียวถูกเปลี่ยนเป็นบ้านพักอาศัย สภาพแวดล้อมที่ถูกปนเปื้อนด้วยสารพิษ มนุษย์จึงพยายามนำธรรมชาติเข้ามาไว้ใกล้ตัวเพื่อทดแทนธรรมชาติที่ขาดหายไป การจัดสวน และการนำไม้ดอกไม้ประดับมาตกแต่งบ้านพักอาศัยและสถานที่ต่าง ๆ จึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน แต่ปัญหาที่พบเสมอคือ จะมีวิธีการดูแลรักษาสวน และไม้ดอกไม้ประดับเหล่านั้นอย่างไรให้มีสภาพสวยงามยาวนาน วิธีดูแลรักษาสวนสวยด้วยตัวเอง จึงเป็นแนวทางที่จะช่วยให้ผู้รักการปลูกต้นไม้แต่ไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพันธุ์ไม้และการดูแลรักษาได้ทราบวิธีการอย่างง่าย ๆ ในการปลูกเลี้ยงและดูแลรักษาต้นไม้ให้เจริญงอกงาม พันธุ์ไม้ในสวน ถ้าแยกพันธุ์ไม้ในสวนออกตามหน้าที่หรือลักษณะก็แบ่งได้ง่าย ๆ ดังนี้

1. ไม้คลุมดิน กิ่งก้านเลื้อยทอดลงปรกดิน จึงทำให้ค่อนข้างเตี้ย ต้องตัดแต่งบ่อย ๆ เพราะโตเร็ว ปล่อยไว้มักรุงรัง และไม่สวย เพราะใบจะเล็กลง ไม่คอยแตกใบใหม่ และ ไม่ผลิดอก ไม้พวกนี้ใช้ปลูกคลุมโคนไม้ใหญ่ ขอบสระ แทรกก้อนหิน ริมขอบถนน สนาม รั้ว ปลูกเป็นแปลง ไม้คลุมดินมีทั้งไม้ดอกและไม้ใบ เช่น คุณนายตื้นสาย แพรเซี่ยงไฮ้ ฟ้าประดิษฐ์ ผกากรอง บัวฝรั่ง หัวใจม่วง ซุ้มกระต่าย เศรษฐีเรือนใน หนวดปลาดุก การะเกด เหิน พลูทอง พลูด่าง เงินใหลมา ไฟเรีย ปีกแมลงสาบ เป็นต้น

2. ไม้พุ่ม มีลำต้นแข็ง มักมีลำต้นย่อม ๆ อยู่ด้วยกันหลาย ๆ ลำ แผ่กิ่งก้าน และใบค่อนข้างแน่น มีทั้งขนาดเล็ก และขนาดกลาง โดยปกติต่ำกว่า 3-4 เมตร ตัดแต่งทรงพุ่มได้ ถ้าปลูกในสวนขนาดเล็ก อาจตัดแต่งให้มีลำต้นเดียว เพื่อให้เหมือนไม้ยืนต้นขนาดเล็ก แต่ถ้าปลูกร่วมกับไม้ยืนต้นทั่วไปในสวนขนาดใหญ่ ก็ใช้ปลูกเป็นกลุ่ม ๆ ในหมู่ไม้พุ่มด้วยกัน ปลูกริมรั่ว หรือทำรั่ว ปลูกเป็นแนวหรือแปลง ตัดแต่งให้เป็นรูปร่างต่าง ๆ ก็ได้ ตัวอย่างไม้พุ่ม ได้แก่ เข็มต่าง ๆ อังกาบ ปัตตาเวีย มะขามเทศด่าง กาหลง โยทะกา หางนกยูงไทย ชุมเทศเห็ด หลิวไต้หวัน ชบาต่าง ๆ พวงทองต้น แก้ว โมก หูปลาช่อน เล็บครุฑ โกสน ราชาวดี พุดฝรั่ง ยี่โถ พุตซ้อน เป็นต้น

3. ไม้ยืนต้น มีลำต้นแข็ง เป็นลำต้นเดี่ยว ๆ ขึ้นไปจนถึงยอด สูงใหญ่ และอายุยืน มีทั้งไม่ยืนต้นขนาดเล็ก เช่น แก้ว โมก แสงจันทร์ ยี่เข่ง เชอร์รี่ มะนาวเทศ หนามแดง คอร์เดีย ไม้ยืนต้นขนาดกลาง เช่น พิกุล ลั่นทม กุ่มบก มะกล่ำตาช้าง ชัยพฤกษ์ ราชพฤกษ์ อินทนิลบก และไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ เช่น ขนุน แคแสด ชมพูพันธุ์ทิพย์ ประดู่ สาเก ปีป (สูง 10-25 เมตร เป็นทั้งไม้ขนาดกลางถึงไม้ขนาดใหญ่) ไทร เสลา ตะแบกนา ไม้ยืนต้นใช้ปลูกเป็นร่มเงา ปลูกเป็นจุดเด่นหรือไม้ประธานในสวน มีทั้งไม้ดอก และไม้ผล บางชนิดไม่ควรปลูกใกล้ตัวบ้านหรือกำแพงมากนัก เพราะระบบรากแข็งแรง โดเร็ว อาจชอนเข้าไปยังฐานรากหรือตัวบ้าน และกำแพงจนร้าว เช่น ไทร หางนกยูงฝรั่ง หูกวาง บางชนิดมีกิ่งเปราะหักง่าย และอันตราย โดยเฉพาะเวลามีพายุเช่น ชมพูพันธุ์ทิพย์ ประดู่ ดังนั้น การปลูกต้นไม้ใหญ่เหล่านี้ต้องคำนึงถึงขนาดของมันเมื่อโตขึ้นในอนาคตด้วย

4. ไม้เลื้อย คือไม้ที่มีกิ่งก้านเลื้อยรัดพันขึ้นสู่ที่สูง บางพันธุ์เป็นไม้เถาเนื้ออ่อน เช่น อัญชัน พวงชมพู บางพันธุ์เป็นไม้เถาเนื้อแข็ง เช่น สายน้ำผึ้ง ชมนาด ชอบแสงจัด ใช้ปลูกขึ้นพันรั่ว กำแพง ซุ้มประตู หลังคาศาลา แผงบังตา นอกจากจะสวยงาม ยังให้ความเป็นส่วนตัว ไม้เลื้อยมีทั้งดอกหอมและไร้กลิ่น ใบเล็กละเอียดจนถึงใบใหญ่ เลือกใช้ตามความเหมาะสม

5. ไม้น้ำ เป็นพืชที่ปลูกในน้ำ อ่าง หรือสระ เนื้อที่น้อยปลูกใส่อ่างหรือภาชนะ ตั้งประดับในสวนหรือมุมบ้านได้ ชอบแสงจัด มิฉะนั้นจะเน่า หรือ ไม่ออกดอก ไม้น้ำมีทั้งชนิดดอกและใบ บางพันธุ์มีใบปริ่มน้ำ มีก้านใบชูสูงพ้นน้ำ แต่บางชนิดอยู่ใต้น้ำ เช่น พวกสาหร่ายต่าง ๆ ไม้น้ำที่เรารู้จักกันดี ได้แก่ บัวหลากพันธุ์ กระจับญี่ปุ่น บัวบา ฝิ่นน้ำ ผักตบไทย ผักตบชวา อเมซอน คล้าน้ำ ลานไพลิน กก แว่นแก้ว จอก เป็นต้น

6. ไม้ริมน้ำ ขึ้นในที่ค่อนข้างชื้นแฉะได้ดี เหมาะที่จะปลูกประดับชายน้ำ ขอบสระ ชอบแสง ตัวอย่าง เช่น จิกน้ำ พลับพลึงต่าง ๆ กก พุทธรักษา เฮลิโคเนีย มหาหงส์ เตย หลิวเลื้อย กระดุมทองเลื้อย เป็นต้น

7. ไม้ในร่ม ปลูกได้ในที่มีแสงอ่อนหรือแสงรำไร โดยมากมักเป็นไม้ใบ มีตั้งแต่พวกไม้คลุมดินไปจนถึงไม้พุ่ม ไม้ยืนต้นขนาดเล็ก เช่น หนวดปลาดุก คล้า เฟิน เขียวพันปี เขียวหมื่นปี วาสนา สาวน้อยประแป้ง พลู หน้าวัวใบ ฟิโลเดนดรอน สังกรณี พุดกุหลาบ มุจลินท์ โมก จั๋ง ไทร หมากผู้หมากเมีย สับประรดสี หนวดปลาหมึก เป็ปเปอร์โรเมีย ไผ่ฟิลิปปินส์ หางกระรอก เป็นต้น

8. ไม้รูปทรง มีทรงสวยตามธรรมชาติโดยไม่ต้องตัดแต่งจัดให้เป็นไม้ประธาน ไม้เด่นในสวนได้ หรือจัดไว้ในสวนที่ไม่ต้องการการดูแลมาก โดยมากเป็นพวกสน ปรง ปาล์ม เป็นต้น พันธุ์ไม้ต่าง ๆ ที่กล่าวมามีหลากหลายชนิด และการเรียนรู้ว่าแต่ละชนิดชอบแสง น้ำ ดินปลูกอย่างไร จะได้จัดกลุ่มที่ชอบเหมือนกันอยู่ใกล้ ๆ กันในสวน ไม่ใช่นำไม้ร่มมาอยู่รวมกับไม้แดด หรือไม้ชอบชื้นริมน้ำมาปลูกอยู่กับไม้ที่ไม่ชอบน้ำขัง ก็ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง

การทําความสะอาด

การศึกษาเรื่องการทำความสะอาดบ้านและบริเวณบ้าน สามารถแบ่งออกได้ดังนี้

1. การทำบ้านให้น่าอยู่

บ้านเป็นสถานที่ให้สมาชิกในครอบครัวได้อยู่อาศัยพักผ่อนนอนหลับ ให้ความปลอดภัย ความสบายกายและความสบายใจแก่สมาชิกทุกคนในครอบครัว บ้านแต่ละหลังมีรูปแบบการสร้างที่แตกต่างกันด้วยองค์ประกอบหลาย ๆ อย่าง ลักษณะของบ้านจะเป็นเช่นไร สมาชิกในบ้านก็สามารถทำให้บ้านน่าอยู่ น่าอาศัยได้ ด้วยการเอาใจใส่ดูแลรักษาทำความสะอาดบ้านอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นการทำความสะอาดบ้านให้มีสภาพเรียบร้อย จนเป็นที่สะดุดตาก็สามารถดึงดูดความสนใจให้สมาชิกในครอบครัวไดอยู่อาศัยอย่างมีความสุขมากกว่าบ้านที่ขาดการรักษาความสะอาด





















หลักในการทำความสะอาดบ้านให้น่าอยู่
1.1 การทำความสะอาด

ความสะอาดเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บ้านน่าอยู่ การทำความสะอาด ปัดกวาด เช็ดถูเป็นประจำ ทำให้เครื่องเรือนเครื่องใช้ปราศจากความสกปรกแม้แต่บริเวณบ้าน รั้ว สนาม ทางเดินเข้าบ้านสะอาด ร่มรื่น ปราศจากขยะมูลฝอยต่าง ๆ

1.2 การสร้างความสะดวกสบาย

จัดแบ่งพื้นที่บริเวณบ้านให้เกิดการใช้สอยที่เป็นสัดส่วน เดินไปมาสะดวกและมีแสงแดดส่องถึง ระบายอากาศได้ดี มีการจัดวางสิ่งของเครื่องใช้อำนวยความสะดวกไว้อย่างเหมาะสม สะดวกในการหยิบใช้และการทำกิจกรรมต่าง ๆ

1.3 การตกแต่งให้สวยงาม

นอกจากการจัดวางสิ่งของเครื่องใช้ให้เหมาะสมดังที่กล่าวในข้อที่ผ่านมา การจัดตกแต่งให้เป็นระเบียบ ไม่เกะกะ การจัดวางสิ่งของให้เกิดความสมดุล การใช้สี การตกแต่งผ้าม่าน เพื่อให้ดูสบายตาก็สามารถทำให้บ้านสวยงามน่าอยู่ยิ่งขึ้น

1.4 การจัดบ้านให้เกิดความปลอดภัย

การจัดบ้านให้มีความปลอดภัยจากอุบัติเหตุต่าง ๆ เช่น มีลูกกรงที่ระเบียงกันพลัดตกบันไดให้แข็งแรง เก็บยา สารเคมีให้พ้นจากมือเด็ก ทำความสะอาดบ้าน บริเวณบ้านให้ปราศจากตะไคร่จับทำให้ลื่นในขณะทำกิจกรรม ปลูกบ้านห่างไกลจากสิ่งปฏิกูลและแหล่งแพร่เชื้อโรคหรือมีวิธีการป้องกันที่ถูกต้องเหมาะสม ถ้าหากไม่สามารถหลีกเลี้ยงได้

2. การวางแผนใช้ทรัพยากรในการทำความสะอาด

ทรัพยากรในการทำความสะอาดที่มีอยู่ภายในบ้าน ควรคำนึงถึงการวางแผนการทำ

ความสะอาดทั้งภายในและภายนอกบ้าน มีดังนี้

2.1 เวลาที่จะใช้ในการทำความสะอาด

2.2 แรงงานที่จะใช้ในการทำความสะอาด

2.3 วัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือที่จะใช้ในการทำความสะอาด

การทำความสะอาดทั้งภายในบ้านและบริเวณภายนอกตัวบ้าน จะมีประสิทธิภาพสูงสุด ก็ต่อเมื่อผู้ทำความสะอาดได้วางแผนการทำงานอย่างรอบคอบและรัดกุม ลงมือทำงานตามแผนที่วางไว้ ตรวจสอบการทำงานและประเมินผลการทำงานในทุก ๆ งานที่ได้ทำไป ว่าได้ผลตามที่ต้องการหรือไม่ เพื่อจะได้พิจารณาปรับปรุงทั้งการวางแผนการทำความสะอาดและวิธีการทำงานในคราวต่อไป การวางแผนในการใช้ทรัพยากรที่เกี่ยวกับการทำความสะอาดคือ การใช้เวลา แรงงานและวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือเหล่านี้ช่วยลดความสูญเสียทรัพยากรทั้งสามประการที่ไม่จำเป็นลงได้



3. การเลือกใช้อุปกรณ์และเครื่องมือในการทำความสะอาดบ้าน

อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้และเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เรานำมาใช้ในการทำความสะอาดบ้าน ทั้งภายในตัวบ้านและบริเวณภายนอกตัวบ้านนั้น สามารถแบ่งเป็นประเภทต่าง ๆ ได้ดังนี้

3.1 อุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้ในการปัดกวาด ได้แก่













– ไม้กวาดดอกหญ้า

– ไม้กวาดทางมะพร้าว

– ไม้กวาดด้ามยาวหรือไม้กวาดเสี้ยนตาล

– ไม้กวาดขนไก่

– ไม้กวาดไม้ไผ่

– เครื่องดูดฝุ่น



3.2 อุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้ในการเช็ด ขัดและถู



















– ผ้าสำหรับเช็ดถู

– ฟองน้ำ

– แผ่นขัด

– แปรงพลาสติก

– แปรงกาบมะพร้าว

– ไม้ถูพื้นธรรมดา

– ไม้ถูพื้นชนิดซักและบิดในตัว

การทําความสะอาดห้องน้ำ

ถ้าหากจะบอกว่าห้องน้ำเปรียบเสมือนห้องรับแขกก็คงไม่ผิดนัก เพราะเมื่อแขกมาเยี่ยมเยือนบ้านและมีกิจจำเป็นของใช้ห้องน้ำของเรา ถ้าพบว่าห้องน้ำของเราไม่สะอาดแล้วล่ะก็ รับรองได้ว่าจะต้องมีคำครหาตามมาอย่างแน่นอน ฉะนั้นเราควรดูแลห้องน้ำให้สะอาดอยู่เสมอ ไม่เพียงเพื่ออนามัยของเราเองเท่านั้น แต่ความสะอาด ความเงางามของห้องน้ำยังเป็นหน้าเป็นตาแก่เรายามที่แขกมาบ้านอีกด้วย วิธีพิชิตคราบสกปรกต่าง ๆ ในห้องน้ำนั้น เริ่มจาก

โถสุขภัณฑ์ การดูแลรักษาโถสุขภัณฑ์ให้ปราศจากเชื้อโรคนั้น เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำประจำ คราบสกปรกบนโถสุขภัณฑ์นั้นทำความสะอาดแก้โดยใช้น้ำยาทำความสะอาดที่เราสามารถบีบเข้าใส่ริมโถด้านในได้ ซึ่งเป็นแหล่งสะสมคราบต่าง ๆ อยู่ แล้วออกแรงขัดกันหน่อยที่ด้านในโถเรื่อยไปยังส่วนที่เป็นคอห่านให้ลึกที่สุดเท่าที่เราจะแหย่แปรงขัดเข้าไปได้

สำหรับคราบที่ฝังแน่นนั้น ให้ใช้น้ำยาซักผ้าขาวเทลงในโถแล้ว หาอะไรทำฆ่าเวลาซัก 10 นาทีก่อนที่จะกลับมาขัดออก ส่วนการทำความสะอาดบริเวณฝารองนั่งควรทำทุกวันหลังจากใช้งานแล้ว เพราะเป็นส่วนที่สัมผัสกับร่างกายเรา การทำความสะอาดก็ง่าย ๆ โดยใช้กระดาษทิชชู่ชุบเอทิลแอลกอฮอล์เช็ดที่ฝารองนั่ง ส่วนคราบสนิมบนโถสุขภัณฑ์สีขาวหรือสีอ่อนที่มองเห็นทั่วไป หรือคราบขาวบนสุขภัณฑ์สีเข้ม มีสาเหตุจากลูกยางปิด-เปิดในถังพักน้ำชำรุด ทำให้น้ำไหลลงโถตลอดเวลา นาน ๆ เข้าจะเกิดคราบสนิมหรือคราบขาวซึ่งเกิดจากการสะสมของสารที่เจือปนมากับน้ำ วิธีแก้ไขที่ต้นเหตุคือการเปลี่ยนลูกยางใหม่เท่านี้ก็กำจัดปัญหานี้ไปได้แล้ว ส่วนคราบสนิมหรือคราบขาวที่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ ให้ใช้กระดาษทรายน้ำขัดกับน้ำถูเบา ๆ หรือใช้น้ำยาล้างห้องน้ำและแปรงขัดให้ทั่ว ในกรณีที่ใช้น้ำยาล้างห้องน้ำ ควรสวมถุงมือและผ้าปิดจมูกทุกครั้ง เพราะน้ำยาล้างห้องน้ำทำจากสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

นอกจากนี้เราสามารถป้องกันสิ่งที่จะเป็นอุปสรรคขวางทางเดินของน้ำจากถังเก็บน้ำได้ โดยใช้เบคกิ้ง-โซดา 1 ถ้วยตวง ( หาซื้อได้จากร้านขายส่วนผสมเค้กหรือตามซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป ) ลงไปในถังน้ำสัปดาห์ละครั้ง เพราะเบคกิ้งโซดาจะช่วยรักษาค่าความเป็นด่างที่เหมาะสม และช่วยควบคุมกลิ่นซัลเฟตที่ไม่พึงประสงค์มารบกวนประสาทสัมผัสของเราอีกด้วย

อ่างล้างหน้า อ่างเซรามิคที่ใช้ไปนาน ๆ จะขึ้นคราบดูไม่สวยงามน่าใช้ แก้ไขได้เพียงนำผ้าสะอาดชุบน้ำส้มสายชูเล็กน้อยถูให้ทั่วพื้นผิวของอ่างแล้วล้างซ้ำด้วยน้ำสบู่อุ่น ๆ อ่างก็จะเงางามขึ้นทันตาเห็น แต่หากอ่างของเรามีคราบหินปูนเกาะหรือคราบสนิมรุกราน ให้ใช้แอมโมเนียผสมกันน้ำมะนาวเล็กน้อยถูบริเวณคราบดังกล่าว ไม่นานคราบหินปูนและสนิมก็จะหลุดออกหมด และถ้าพบว่าอ่างของเราน้ำเริ่มระบายไหลไม่สะดวกอันมีเหตุจากการอุดตัน ให้เอาโซดาผสมกับน้ำส้มสายชูในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 เทลงในท่อน้ำทิ้งไว้ 3 – 5 นาที และค่อยเปิดก๊อกให้น้ำไหลลงท่อ น้ำจะไหลลงท่อได้อย่างสะดวกเช่นเดิม

อ่างอาบน้ำ เมื่อใช้ไปนาน ๆ อ่างอาบน้ำจะมีคราบไขมันสบู่และคราบเหงื่อไคลจากร่างกายในระหว่างอาบน้ำเกาะติดอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ใช้ผ้าจุ่มน้ำมันก๊าดเพียงเล็กน้อยถูให้ทั่วแล้วล้างซ้ำด้วยน้ำร้อนอีกครั้ง คราบไขมันจะหลุดออกอย่างง่ายดาย หรือใช้โซดาและผงซักฟอกมาผสมกันในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 เทผสมกับน้ำ ทิ้งไว้ 5 – 10 นาที ก่อนล้างน้ำซ้ำอีกครั้ง อ่างอาบน้ำของเราจะกลับแวววาวได้อีกครั้ง

ห้องอาบน้ำ บริเวณที่อาบน้ำที่กั้นด้วยกระจกหรือพีวีซี มักจะหมองหรือด่างด้วยคราบสบู่ เราควรเช็ดถูด้วยน้ำยาเช็ดกระจก หรือใช้ฟองน้ำเช็คคราบน้ำหลังการอาบน้ำเสร็จทุกวัน โดยมอบหน้าที่ให้คนที่อาบน้ำคนสุดท้ายเป็นคนทำ แต่ถ้าเป็นคราบตกค้างอยู่ให้ใช้วิธีการทำความสะอาดเดียวกับการทำความสะอาดอ่างอาบน้ำ

ผ้าม่านพลาสติก ควรซักด้วยน้ำสบู่อ่อนๆ หรือน้ำยาซักผ้าที่ผสมน้ำอุ่น แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น แล้วผึ่งให้แห้งโดยการตากลมดีกว่าตากแดด เพราะจะไม่ทำให้ผ้าม่านสี จืดจางลง

ฝักบัว , ก๊อกน้ำ น้ำที่ออกจากฝักบัวที่ใช้ชำระล้างร่างกายของเรานั้นควรเป็นน้ำสะอาด ฉะนั้น เราควรทำความสะอาดฝักบัวโดยการแช่ส่วนหัวของฝักบัวลงในน้ำอุ่นผสมน้ำส้มสายชู ในอัตราส่วน น้ำ 1 ขัน ต่อ น้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ โดยแช่ไว้ในถุงพลาสติกรัดปากถุงทิ้งไว้ 1 คืน รุ่งขึ้นแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดเช็ดด้วยผ้าสะอาดให้แห้ง แขวนเก็บไว้ที่เดิม เท่านี้เราก็สามารถสบายใจได้ว่า น้ำสะอาดที่ออกมานั้นจะไม่เปลี่ยนสภาพไปเพราะฝักบัวที่สกปรกอีกต่อไป หากก็อกที่เราใช้เป็นสแตนเลส สามารถทำความสะอาดส่วนที่เป็นโลหะด้วยผ้านุ่มหรือฟองน้ำ หรือแม้แต่หนังชามัวที่ไว้เช็ดรถก็ใช้ได้ ชุบน้ำส้มสายชูผสมกับแอลกอฮอล์หรือน้ำยาเช็ดกระจกก็ได้ แต่ถ้าก๊อกเป็นแบบชุบโครเมียม ให้ใช้ครีมขัดเงาหรือครีมขัดโลหะขัด แล้วถูให้เงางามโดยใช้ผ้านุ่ม ๆ หรือหนังชาร์มัว กรณีที่โครเมียมลอก หรือมีร่องรอยขีดข่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ เราสามารถขจัดความหม่นมัวเหล่านี้ออกไปได้ง่าย ๆ เพียงใช้ยาเคลือบเล็บชนิดใสแต้มไปเพื่อเพิ่มความเงา

พื้น / ผนัง พื้นผนังของห้องน้ำมักเป็นที่สะสมสิ่งสกปรก ปัญหาที่มักพบบ่อย ๆ คือ ผนังปูนตอนบนที่อยู่พ้นแนวกระเบื้องไปแล้ว มีรอยด่างดำจากสบู่หรือแชมพูที่กระเด็นไปติด ซึ่งสามารถทำความสะอาดได้โดยใช้น้ำยาล้างห้องน้ำผสมน้ำอ่อน ๆ เช็ดเคลือบเอาไว้ ทิ้งไว้ซัก 5 – 10 นาทีแล้วล้างออก ส่วนคราบสบู่ที่เกาะอยู่ตามซอกยาแนวกระเบื้องห้องน้ำ หากยาแนวของเราเป็นสีขาวสามารถใช้ยาสีฟันสูตรไวท์เทนนิ่งกับแปรงสีฟันเก่า ๆ มาขัดจุดดำ ๆ ออกได้ หรือจะลองใช้เบคกิ้งโซดานิดหน่อยกับแชมพูแบบถูกก็ได้ แชมพูจะทำหน้าที่ชำระล้างส่วนเบคกิ้งโซดาจะทำหน้าที่กัดกร่อนคราบสกปรก

กระจกเงา การดูแลกระจกให้ปราศจากคราบทำได้ไม่ยากสักนิด เพียงใช้ยาสีฟันมาบีบใส่ไว้บนกระจกแล้วหาผ้าชุบน้ำมา เช็ดยาสีฟันที่บีบทิ้งไว้บนกระจก โดยถูให้ทั่วๆ กระจก แล้วใช้ผ้าเช็ดอีกครั้ง กระจกเงาที่หมอง จะดูเงางาม เป็นประกายทันที หรือจะใช้กระดาษหนังสือพิมพ์เก่าชุบน้ำเช็ดก็ได้กระจกจะใสแจ๋วเช่นเดียวกัน

การดูแลทำความสะอาดห้องน้ำจะไม่สร้างความยุ่งยากอีกต่อไป เพียงสละเวลาเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่กี่นาที หลังใช้งานเสร็จในแต่ละวัน ทำความสะอาดห้องน้ำ จะช่วยประหยัดเวลาและแรงงานในการทำรบรากับคราบสกปรกที่ถูกทิ้งไว้ทั้งอาทิตย์ วิธีนี้ยังทำให้ได้ประสิทธิภาพในการทำความสะอาดยิ่งกว่าด้วย

ความสามัคคี

ความสามัคคี

ธรรมะวันหยุด

พระราชสุธี (โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชร วรวิหาร watdevaraj@hotmail.com



ความสามัคคี หมายถึง ความพร้อมเพรียงกัน ความกลมเกลียวเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง วิวาทบาดหมางกัน

ความสามัคคี มีด้วยกัน 2 ประการ คือ 1.ความสามัคคีทางกาย ได้แก่ การร่วมแรงร่วมใจกันในการทำงาน 2.ความสามัคคีทางใจ ได้แก่ การร่วมประชุมปรึกษาหารือกันในเมื่อเกิดปัญหาขึ้น

ความสามัคคีดังที่ว่านี้ จะเกิดมีขึ้นได้ ต้องอาศัยเหตุที่เรียกกันว่า สาราณียธรรม ธรรมเป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน กระทำซึ่งความเคารพระหว่างกัน อยู่ร่วมกันในสังคมด้วยดี มีความสุข ความสงบ ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง ทำร้ายทำลายกัน มี 6 ประการ คือ

1.ทำต่อกันด้วยเมตตา คือ แสดงไมตรีและความหวังดีต่อเพื่อนร่วมงาน ร่วมกิจการ ร่วมชุมชน ด้วยการช่วยเหลือธุระต่างๆ โดยเต็มใจ แสดงอาการกิริยาสุภาพ เคารพนับถือกัน ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

2.พูดต่อกันด้วยเมตตา คือ ช่วยบอกสิ่งที่เป็นประโยชน์ สั่งสอนหรือแนะนำตักเตือนกันด้วยความหวังดี กล่าววาจาสุภาพ แสดงความเคารพนับถือกัน ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

3.คิดต่อกันด้วยเมตตา คือ ตั้งจิตปรารถนาดี คิดทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่กัน มองกันในแง่ดี มีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสต่อกัน

4.ได้มาแบ่งกันกินใช้ คือ แบ่งปันลาภผลที่ได้มาโดยชอบธรรม แม้เป็นของเล็กน้อย ก็แจกจ่ายให้ได้มีส่วนร่วมใช้สอยบริโภคทั่วกัน

5.ประพฤติให้ดีเหมือนเขา คือ มีความประพฤติสุจริต ดีงาม รักษาระเบียบวินัยของส่วนรวม ไม่ทำตนให้เป็นที่น่ารังเกียจ หรือทำความเสื่อมเสียแก่หมู่คณะ

6.ปรับความเห็นเข้ากันได้ คือ เคารพรับฟังความคิดเห็นกัน มีความเห็นชอบร่วมกัน ตกลงกันได้ในหลักการสำคัญ ยึดถืออุดมคติหลักแห่งความดีงาม หรือจุดหมายอันเดียวกัน

ธรรมทั้ง 6 ประการนี้ เป็นคุณค่าก่อให้เกิดความระลึกถึง ความเคารพนับถือกันและกัน เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์ยึดเหนี่ยวน้ำใจกัน เพื่อป้องกันความทะเลาะ ความวิวาทแก่งแย่งกัน เพื่อความพร้อมเพรียงร่วมมือ ผนึกกำลังกัน เพื่อความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

อานิสงส์ของความสามัคคีนี้ ท่านกล่าวไว้ว่า เป็นบ่อเกิดแห่งความสุข ความเจริญ เป็นเหตุแห่งความสำเร็จในกิจการงานต่างๆ การงานอันเกินกำลังที่คนๆ เดียวจะทำได้ เช่น การก่อสร้างบ้านเรือน ต้องอาศัยความสามัคคีเป็นที่ตั้ง แมลงปลวกสามารถสร้างจอมปลวกที่ใหญ่โตกว่าตัวหลายเท่าให้สำเร็จได้ ก็อาศัยความสามัคคีกัน เพราะฉะนั้น การรวมใจสามัคคีกันจึงเกิดมีพลัง ส่วนการแตกสามัคคีกันทำให้มีกำลังน้อย

โทษของการแตกสามัคคีกันนั้น ท่านกล่าวไว้ว่า หาความสุข ความเจริญไม่ได้ ไม่มีความสำเร็จด้วยประการทั้งปวง เหตุให้แตกความสามัคคีกันนี้ อาจเกิดจากเหตุเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นได้ เหมือนเรื่องน้ำผึ้งหยดเดียว แต่เป็นเหตุให้เกิดสงครามได้เหมือนกัน ดูตัวอย่างเรื่องพวกเจ้าลิจฉวีในเมืองไพศาลี แคว้นวัชชี มีความสามัคคีกัน พระเจ้าอชาตศัตรูก็ทำอะไรไม่ได้ แต่พอถูกวัสสการพราหมณ์ยุยงให้แตกสามัคคีกันเท่านั้น ก็เป็นเหตุให้พระเจ้าอชาตศัตรู เข้าโจมตีและยึดเมืองเอาไว้ได้ในที่สุด

ดังนั้น ความสามัคคี ถ้าเกิดมีขึ้นในที่ใด ย่อมทำให้ที่นั้นมีแต่ความสงบสุข ความเจริญ ส่วนความแตกสามัคคี ถ้าเกิดมีขึ้นในที่ใด ย่อมทำให้ที่นั้นประสบแต่ความทุกข์ มีแต่ความเสื่อมเสียโดยประการเดียว

เคล็ดลับลดความอ้วน

วันนี้ขอนำเอาวิธีการลดน้ำหนักสำหรับคนขี้เกียจ หรือว่าคนที่ไม่ชอบวิธีลดน้ำหนักแบบอื่นๆ มาให้ลองทำดูค่ะ จะได้ผลยังไงบอกกันมั่งนะคะ

1. เพิ่มปริมาณน้ำ
ทำไม ถึงต้องเพิ่มปริมาณน้ำ ก็เพราะว่าน้ำเป็นตัวนำออกซิเจนและอาหารไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย ช่วยปรับความร้อนของร่างกายให้คงที่อยู่เสมอ ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งไม่แห้งตึง แล้วยังช่วยการทำงานของระบบขับถ่ายให้ดีขึ้นอีกด้วย ที่สำคัญคือช่วยให้การทานอาหารลดลงเพราะรู้สึกอิ่มเร็วขึ้น เราจึงควรดื่มน้ำให้มากๆ แทนการดื่ม ชา กาแฟ หรือน้ำผลไม้ เพราะน้ำเปล่าคือเครื่องดื่มที่ดีที่สุดในโลก

2. ปรับเปลี่ยนอาหาร
ลอง ปรับเปลี่ยนการเลือกรับประทานอาหารใหม่ เช่น เลือกรับประทานข้าวโอ๊ตแทนการกินซีเรียลเลือกน้ำสลัดไขมันต่ำแทนน้ำสลัด ธรรมดา หรือเปลี่ยนมารับประทานข้าวกล้องแทนข้าวสวย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนั้นค่อยๆ ทำไปทีละอย่างก็ได้ค่ะ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเพียงชั่วข้ามคืนแต่อย่างใด

3. ทิ้งอาหารขยะไปซะ
อาหาร ขยะมีคุณค่าทางโภชนาการต่ำ มักจะประกอบไปด้วย เกลือ น้ำตาล ไขมัน หรือแคลอรีในปริมาณสูง ซึ่งเป็น ตัวการทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างมาก วิธีที่คุณจะสามารถกำจัดอาหารขยะคือ เก็บกวาดอาหารขยะทั้งหลายในตู้เย็น ตู้อาหาร โยนทิ้งไปซะ แล้วก็ไม่ต้องไปซื้อมาเก็บไว้อีก

4. มังสวิรัติ 1 วัน
เลือก สัก 1 วันในสัปดาห์ มาทานผัก ผลไม้ เพื่อเพิ่มกากใยให้กับร่างกาย และยังช่วยลดปริมาณของไขมันที่คุณทานเข้าไประหว่างสัปดาห์อีกด้วย มากไปกว่านั้น ผัก ผลไม้ยังมีวิตามินและเกลือแร่ ที่จำเป็นต่อรางกายอีกด้วยนะคะ

5. มารับประทานถั่วกันเถอะ
ถั่ว เป็นอาหารที่ดีที่สุดอีกชนิดหนึ่งที่เราควรรับประทาน เพราะอุดมไปด้วยไขมันและโปรตีนที่ดีต่อสุขภาพ แต่ควรจะหลีกเลี่ยงการรับประทานถั่วที่มีเกลือหรือน้ำตาลผสมอยู่นะคะ ไม่อย่างนั้นน้ำตาลที่ผสมอยู่กับถั่ว จะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นจนน่าตกใจเลยทีเดียว

6. อบ นึ่ง ต้ม ย่าง ลด ละ ของผัด ของทอด
ควร เลือกรับประทานอาหารที่มีวิธีการปรุงแบบไม่ใช้น้ำมันจะดีกว่านะคะ พวกผัดๆ ทอดๆ หลีกเลี่ยงได้จะดีที่สุด ควรจะหันมาเลือกทานอาหารจำพวก อบ นึ่ง ต้ม ย่าง แทน จะได้ลดปริมาณไขมัน ที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายออกไป อีกทั้งยังดีต่อสุขภาพในระยะยาวด้วยนะคะ

7. ออกกำลังกายยามว่างหรือไม่ว่าง
การ ออกกำลังกายนั้นไม่จำเป็นว่าคุณจะต้องไปเข้าฟิตเนสอย่างเดียว คุณสามารถออกกำลังกายได้ทั้งในขณะที่ทำงานหรืออยู่บ้าน เช่น หากคุณนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ คุณก็สามารถขยับต้นคอ เพื่อคลายกล้ามเนื้อ และลุกขึ้นบิดตัวไป-มา ทุกๆ ครึ่งชั่วโมงเพื่อให้เลือดไหลเวียน หรือทำงานบ้าน ด้วยตนเอง เช่น เช็ดกระจกหรือล้างรถ ก็เป็นการยืดเส้นยืดสายอย่างดีทีเดียว

8. รู้จักเก็บตุนอาหารว่าง
ใน ช่วงระหว่างมื้ออาหาร หากคุณรู้สึกหิวก็สามารถเลือกรับประทานอาหารว่างได้นะคะ เพราะเมื่อถึงเวลามื้ออาหารคุณจะได้ไม่รู้สึกโหยอาหารมาก ซึ่งอาจจะทำให้ คุณ รับประทานอาหารที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัว ซึ่งอาหารว่างที่ควรเลือกนั้นอาจจะเป็นผลไม้สด แครกเกอร์ หรือขนมปังโฮลวีตก็ได้ค่ะ

เริ่มทำวันละเล็ก ละน้อย และเริ่มไปทีละอย่าง จนคุณติดเป็นนิสัย เพียงเท่านี้ เจ้าน้ำหนักส่วนเกินที่คุณไม่ต้องการ ก็จะไม่มาเคาะประตูร้องหาคุณอีกต่อไปค่ะ

สะพานข้ามแม่น้ำแคว

ประวัติ สะพานข้ามแม่น้ำแคว
สะพานข้ามแม่น้ำแคว



สะพานข้ามแม่น้ำแคว เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก เนื่องจากประวัติศาสตร์การก่อสร้างสะพานแห่งนี้ เกี่ยวพันกับเหตุการณ์เมื่อครั้งสงครามมหาเอเชียบูรพา โดยกองทัพญี่ปุ่นได้เกณฑ์เชลยศึกพันธมิตรจำนวนมากมาก่อสร้างทางรถไฟสายยุทธศาสตร์เพื่อผ่านไปยังประเทศพม่า เริ่มต้นจากสถานีหนองปลาดุก อ. บ้านโป่ง จ. ราชบุรี ผ่านสถานีต่าง ๆ ใน จ. กาญจนบุรี เพื่อลำเลียงยุทธปัจจัยและกำลังทหารไปยังพม่า เส้นทางเมื่อข้ามสะพานข้ามแม่น้ำแควไปแล้วจะเลียบไปตามลำน้ำแควน้อย ผ่านโตรกผาบริเวณที่เรียกว่าถ้ำกระแซ ซึ่งเป็นทางโค้งเลียบนหน้าผา ด้านหนึ่งเป็นแม่น้ำที่เชี่ยวกราก บางช่วงต้องขุดเจาะระเบิดภูเขาเป็นช่องให้รถไฟผ่านไป
การสร้างทางรถไฟสายนี้เป็นไปด้วยความยากลำบาก ความทารุณของสงครามและโรคภัย ตลอดจนการขาดอาหาร ทำให้เชลยศึกชาวตะวันตกได้แก่ อังกฤษ อเมริกัน ออสเตรเลีย และฮอลันดา และกรรมกรรถไฟหลากเชื้อชาติต้องสังเวยชีวิตไปเป็นจำนวนจำนวนหลายหมื่นคน จนมีการเปรียบเทียบว่าหนึ่งไม้หมอนของทางรถไฟสายมรณะคือหนึ่งชีวิต ซึ่งยังทิ้งร่องรอยไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาเป็นจำนวนมากในเรื่องราวความเป็นมาในอดีต
ที่ตั้ง บ้านท่า-มะขาม ต. ท่ามะขาม อ. เมือง
ประวัติ ทหารช่างญี่ปุ่นเลือกสร้างสะพานที่บริเวณนี้เนื่องจากมีฐานดินด้านล่างแน่นที่สุด โดยใช้แรงงานเชลยศึกและกรรมกรรับจ้างจำนวนมาก การก่อสร้างเริ่มจากการสร้างสะพานไม้เพื่อลำเลียงคนและอุปกรณ์ก่อสร้างทางรถไฟข้ามไปก่อน โดยสร้างในช่วงที่น้ำลดลงตอนปลายเดือนพ.ย. 2485 โดยใช้ไม้ซุงทั้งต้นตอกเป็นเสาเข็ม ใช้เวลาก่อสร้าง 3 เดือน และได้รื้อออกไปหลังจากสร้างสะพานเหล็กแล้ว (ปัจจุบันแนวสะพานไม้เดิมอยู่ห่างจากสะพานข้ามแม่น้ำแควลงไปทางใต้ประมาณ 100 ม. ในพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 2
ส่วนสะพานข้ามแม่น้ำแควใช้เวลาสร้างเพียง 1 ปี โดยนำเหล็กจากมลายูมาประกอบเป็นชิ้น ๆ ตอนกลางทำเป็นสะพานเหล็ก 11 ช่วง หัวและท้ายเป็นโครงไม้ ตัวสะพานยาวประมาณ 300 ม.สร้างเสร็จและทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2486
สะพานข้ามแม่น้ำแควถูกทหารฝ่ายสัมพันธมิตรโจมตีทางอากาศทั้งสิ้นราว 10ครั้งในระหว่างสงคราม จนกระทั่งสะพานช่วงที่ 4-6 ชำรุด และไม่สามารถใช้การได้ ต่อมาการรถไฟแห่งประเทศไทยได้ปรับปรุงขึ้นใหม่จากของเดิม โดยตอนกลางทำเป็นสะพานเหล็กสองช่วง ส่วนด้านหัวและท้ายเปลี่ยนเป็นสะพานเหล็กหกช่วงแทน
หากเรามองผ่าน ความปวดร้าว ในอดีต จะมองเห็นทิวทัศน์ ตลอดสองเส้นทางที่สวยงาม โดยเฉพาะบริเวณถ้ำกระแซ ที่เส้นทางรถไฟ จะลัดเลาะผ่านไปตามหน้าผา เลียบไปกับแม่น้ำแควน้อย ความงดงาม ของธรรมชาติ กับจำนวนเลือดเนื้อ ที่ต้องสูญเสียในอดีต ทำให้เส้นทางรถไฟสายนี้ มีค่ายิ่ง ในความทรงจำ ของกลุ่มคนที่ส่วนเกี่ยวข้อง และร่วมสูญเสีย หรือแม้แต่คนที่มีโอกาสได้ผ่านมา และร่วมรับรู้ ถึงข้อเท็จจริงในอดีต ปัจจุบันเส้นทางสายนี้ ไปสุดปลายทางที่บ้านท่าเสาหรือสถานีน้ำตก ระยะทางจากสถานี กาญจนบุรีถึงสถานีน้ำตก เป็นระยะทางประมาณ 77 กิโลเมตร


จังหวัดกาญจนบุรี การรถไฟแห่งประเทศไทย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และองค์กรรัฐเอกชนในจังหวัดกาญจนบุรี ได้กำหนดจัด “งานสัปดาห์สะพานข้ามแม่น้ำแคว ประจำปี 2550” ระหว่างวันที่ 28 พฤศจิกายน 2550 – 9 ธันวาคม 2550 บริเวณ สะพานข้ามแม่น้ำแคว อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ภายในงานจะจัดให้มีการแสดงแสง เสียง อย่างอลังการ จำลองเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 (มหาเอเชียบูรพา) ด้วยเทคนิคไฟ แสง สี เสียง มหึมายิ่งใหญ่กว่าทุก ๆ ปี ที่ผ่านมา การประกวดนางงามสันติภาพ ขบวนแห่บุปผชาติ การจัดการแสดงทางวัฒนธรรม การแสดงคอนเสิร์ตจากค่ายเพลงชั้นนำระดับประเทศ การออกร้านสุดยอดของดีเมืองกาญจน์ “หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์” การจำลองวิถีชีวิตกาญจนบุรีจากอดีตสู่ปัจจุบัน ฯลฯ ตลอดจนการแสดงอื่น ๆ อีกมากมาย บนเนื้อที่จัดงานกว่า 180 ไร่
โดยในงานมีการแสดง แสง สี เสียงจำลองเหตุการณ์สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 (สงครามมหาเอเชียบูรพา) ที่กองทัพญี่ปุ่นได้เกณฑ์เชลยศึกพันธมิตรมาสร้างทางรถไฟและฝ่ายพันธมิตรได้ส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดทำลายสะพาน เพื่อตัดเส้นทางรถไฟที่เดินทางสู่ประเทศพม่า

ศิลปะทวารวดี

KonG
View my profile
Previousงานวิจัยเรื่องพัฒนาการด้านศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญา
พัฒนาการของศิลปะไทย
ศิลปะทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 12-16)
ศิลปะลพบุรี (พุทธศตวรรษที่ 12-18)
ศิลปะอู่ทอง (พุทธศตวรรษที่ 18-20)
RecommendFavouritesLinksLatest Commentsพัฒนาการของศิลปะไทย
ศิลปะลพบุรี (พุทธศตวรรษที่ 12-18)
ศิลปะรัตนโกสินทร์ตั้งแต่รัชกาลที่ 4 เป็นต้นมา (พ.ศ.2394-ปัจจุบัน)
ศิลปะอยุธยา (พุทธศตวรรษที่ 20-24)
ศิลปะทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 12-16)
ArchivesFeb 2011
Jan 2011
Dec 2010
Nov 2010
Oct 2010
more
Categoriesศิลปะทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 12-16)
posted on 13 Jan 2009 21:49 by nutcoco เป็นของชนชาติมอญละว้า มีศูนย์กลางอยู่บริเวณจังหวัดนครปฐมจังหวัดราชบุรี อำเภออู่ทอง และกินพื้นที่ไปจนถึงภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แถบ จังหวัดบุรีรัมย์จังหวัดปราจีนบุรีเป็นศิลปะที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทโดยได้รับอิทธิพลจากศิลปะอินเดียในสมัยคุปตะศิลปะสมัยหลังคุปตะและศิลปะปาละ-เสนะ ตามลำดับ





ตัวอย่างพระพุทธรูปสมัยทวารวดี






ประติมากรรม

พระพุทธรูป

1.ลักษณะสำคัญของพระพุทธรูปสมัยทวาราวดี แบ่งออกเป็น 3 ยุค คือมีลักษณะของอินเดียแบบคุปตะและหลังคุปตะ บางครั้งก็มีอิทธิพลของศิลปะอินเดียแบบอมราวดีอยู่ด้วย ลักษณะวงพักตร์แบบอินเดีย ไม่มีรัศมีจีวรเรียบเหมือนจีวรเปียก ถ้าเป็นพระพุทธรูปนั่งจะขัดสมาธิหลวม ๆ แบบอมราวดีมีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ 12

ตัวอย่างประติมากรรมสมัยทวารวดี


2. พัฒนาขึ้นจากแบบแรก โดยมีอิทธิพลพื้นเมืองผสมมากขึ้นพระขนงต่อกันเป็นรูปปีกกา พระเกตุมาลา เป็นต่อมนูนใหญ่บางทีมีรัศมีบัวตูมเหนือเกตุมาลา และสั้น พระพักตร์แบนกว้าง พระเนตรโปน พระหนุ (คาง ) ป้าน พระนลาฏ

(หน้าผาก)แคบพระนาสิกป้านใหญ่แบน พระโอษฐ์หนา พระหัตถ์และพระบาทใหญ่ ยังคงขัดสมาธิหลวม ๆแบบอมราวดี มีอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษ ที่ 13-15




เศียรพระพุทธรูปสมัยทวารวดี





3.พระพุทธรูปในช่วงนี้ได้รับอิทธิพลศิลปะเขมร เนื่องจากเขมรเริ่มมีอิทธิพลมากขึ้นในสมัยเมืองพระนครประมาณพุทธศตวรรษที่ 15 ศิลปกรรมแบบทวารวดี ในระยะนี้จึงมีอิทธิพลเขมร แบบบาปวนหรืออิทธิพลศิลปะเขมรในประเทศไทยที่เรียกว่าศิลปะลพบุรีปะปนเช่น พระพักตร์เป็นรูปสี่เหลี่ยม มีลักยิ้ม นั่งขัดสมาธิราบ เป็นต้นนอกจากพระพุทธรูปแล้วยังพบสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้าซึ่งแสดงการสืบทอดแนวคิดทางศิลปะอินเดียโบราณก่อนหน้าที่จะทำรูปเคารพเป็นรูปมนุษย์ภายใต้อิทธิพลศิลปะกรีก




ประติมากรรมกลุ่มเทวรูปรุ่นเก่า

เป็นประติมากรรมศาสนาพราหมณ์ หรือฮินดูอยู่ร่วมสมัยกับทวารวดีตอนต้น และตอนปลาย ที่เมืองศรีมโหสถและเมืองศรีเทพและพบอยู่ร่วมกับศรีวิชัยและทวารวดีที่ภาคใต้ของประเทศไทยมักจะทำเป็นรูปพระนารายณ์ ลักษณะพระพักตร์จะไม่เหมือนพระพุทธรูปแบบทวารวดีเลยจะมีลักษณะคล้ายกับอินเดีย ตัวอย่างเช่นพระนารายณ์ที่ไชยาแสดงลักษณะอิทธิพลศิลปะอินเดียแบบมทุรา และอมราวดี(พุทธศตวรรษที่6-9) รวมทั้งที่พบที่นครศรีธรรมราช ซึ่งถือสังข์ ด้วยพระหัตถ์ซ้ายด้านล่างผ้านุ่งและผ้าคาดที่พบที่ภาคใต้และที่เมืองศรีมโหสถจะมีผ้าคาดเฉียงเหมือนศิลปะอินเดียหลังคุปตะ (ปัลลวะ) ในราวพุทธศตวรรษที่ 12ส่วนเทวรูปรุ่นเก่าที่ศรีเทพจะมีอายุใกล้เคียงกันและที่ศรีเทพนอกเหนือจากที่จะพบรูปพระนารายณ์แล้วยังพบรูปพระกฤษณะและพระนารายณ์ด้วยลักษณะของเทวรูปกลุ่มนี้ไม่เหมือนกับที่พบในเขมรเนื่องจากกล้าที่จะทำลอยตัวอย่างแท้จริงไม่ทำแผ่นหินมารับกับพระหัตถ์คู่บนแต่ยังไม่มีการนำเอากลุ่มเทวรูปนี้เข้าไปไว้ในศิลปะทวารวดีจึงเพียงมีแต่สมมุติฐานว่าเทวรูปกลุ่มนี้น่าจะเป็นทวารวดีที่เป็นพราหมณ์การเข้ามาของเทวรูปนี่มีข้อคิดเห็นแตกไปเป็น 2 ทางคือ เป็นศิลปะอินเดียที่นำเข้าที่พร้อมกับการติดต่อค้าขาย หรือเป็นศิลปะแบบอินเดียที่ทำขึ้นในท้องถิ่นและมีการพัฒนาการภายใต้อิทธิพลศิลปะพื้นเมืองแบบทวารวดีและศรีวิชัย





สถาปัตยกรรม

สถาปัตยกรรมแบบทวาราวดีมักก่ออิฐและใช้สอดิน เช่นวัดพระเมรุและเจดีย์จุลปะโทน จังหวัดนครปฐม บางแห่งมีการใช้ศิลาแลงบ้าง เช่นก่อสร้างบริเวณฐานสถูปการก่อสร้างเจดีย์ในสมัยทวารวดีที่พบทั้งเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยม เจดีย์ทรงระฆังคว่ำมียอดแหลมอยู่ด้านบน

ผลงานทางศิลปะที่สำคัญ เช่น

ภาพปูนปั้นสตรีเล่นดนตรี พบที่คูบัว อำเภอเมืองฯจังหวัดราชบุรี


ภาพปูนปั้นสตรีเล่นดนตรี เจดีย์ฐานสี่เหลี่ยม




ธรรมจักรหินขนาดใหญ่ พบที่จังหวัดนครปฐม



ในบริเวณภาคกลางของประเทศไทย หลังจากความเสื่อมของศิลปะทวารวดีในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16 แล้วศิลปะลพบุรีซึ่งได้อิทธิพลจากศิลปะเขมรก็ได้เจริญขึ้นมาแทนที่

การใช้คอมพิวเตอร์เบื้องต้น

การใช้คอมพิวเตอร์เบื้องต้น

1. การเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์
1. เสียบปลั๊กไฟทุกเส้นที่ต่อจากเครื่องคอมพิวเตอร์
2. กดปุ่ม Power เพื่อเปิดเครื่อง จะมีไฟติดที่เครื่องและแป้นพิมพ์
3. เปิดสวิตช์จอภาพ จะมีตัวอักษรขึ้นบนจอภาพ และเริ่มเข้าสู่โปรแกรม
4. ใช้เมาส์คลิกที่ปุ่ม Start จะปรากฏกลุ่มงานให้เลือกใช้
5. ใช้เมาส์คลิกที่โปรแกรม (Programs) จะปรากฏแถบรายชื่อโปรแกรมต่าง ๆ ให้เลือก
6. คลิกชื่อโปรแกรมที่ต้องการใช้งาน โปรแกรมงานก็จะถูกเปิดขึ้นทันที

2. การปิดเครื่องคอมพิวเตอร์
1. คลิกที่ปุ่มปิดโปรแกรม (Close) X
2. คลิกที่ปุ่ม Start
3. เลือก Shut down
4. เลือกตัวเลือกที่ต้องการ
5. เลือกปุ่ม OK แล้วเครื่องจะถูกปิดลง

3. การใช้งานโปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ด (Microsoft Word)
โปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ด (Microsoft Word) เป็นโปรแกรมที่นิยมใช้ในการพิมพ์เอกสารต่าง ๆ เช่น จดหมาย รายงาน ซึ่งมีคุณสมบัติในการสร้าง ตกแต่งสีและจัดรูปแบบเอกสารให้สวยงาม และสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว

การเรียกใช้งานโปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ด มีขั้นตอนปฏิบัติดังนี้
1. คลิกปุ่ม Start ไปที่ Programs
2. คลิกเมาส์เพื่อเลือก Microsoft Word จะปรากฏหน้าต่างของ Microsoft Word

การใช้งานโปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ด เพื่อพิมพ์เอกสาร สามารถปฏิบัติดังนี้
1. เลือกแบบตัวอักษร และขนาดตัวอักษรที่ต้องการ
2. พิมพ์ข้อความตามต้องการ
3. การแก้ไขข้อความ
ถ้าต้องการแก้ไขข้อความก็สามารถทำได้ ดังนี้
- เลื่อนเมาส์มาในหน้าเอกสาร เคอร์เซอร์ (Cursor) จะเปลี่ยนเป็น I (I-beam)
- นำเคอร์เซอร์ไปคลิกตรงข้อความที่ต้องการแก้ไข และทำการแก้ไข ดังนี้
การแทรกข้อความ มีขั้นตอนดังนี้
1) ใช้เมาส์คลิกตำแหน่งที่ต้องการแทรก
2) พิมพ์ข้อความที่ต้องการแทรกลงไป
การลบตัวอักษรและข้อความ มีขั้นตอนดังนี้
1) ลบตัวอักษรทีละตัว ทำได้โดยคลิกให้เครื่องหมายเคอร์เซอร์อยู่หลังอักษร แล้วกดปุ่ม Backspace
2) ลบข้อความยาว ๆ ให้คลิกเมาส์ด้านซ้ายค้างไว้ แล้วลากไปที่ข้อความที่ต้องการลบให้เป็นแถบสีดำ แล้วกดปุ่ม Enter หรือ Delete

4. การพิมพ์เอกสารในกระดาษ มีขั้นตอนการปฏิบัติดังนี้
1) คลิกที่เมนู File เลือกคำสั่งพิมพ์ จะปรากฏหน้าต่างการพิมพ์ขึ้น
2) กำหนดเครื่องพิมพ์ที่ใช้
3) เลือกส่วนของระยะหน้า เช่น
- พิมพ์ทั้งหมด เครื่องจะพิมพ์ทุกหน้าที่อยู่ในแฟ้ม
- หน้าปัจจุบัน เครื่องจะพิมพ์หน้าที่มีเครื่องหมายเคอร์เซอร์อยู่
- หน้า ให้ระบุหน้าที่จะพิมพ์ เช่น 1-5, 8-10
4) เลือกจำนวนชุด ตอบเป็นชุด แล้วคลิกปุ่มตกลง

5. การจัดเก็บเอกสาร มีขั้นตอนดังนี้
1) เลือกเมนู File แล้วคลิกที่ Save หรือ Save As จะปรากฏหน้าต่าง Save As ขึ้น
2) เลือกที่สำหรับจัดเก็บ
3) ตั้งชื่อไฟล์
4) คลิก Save

6. การปิดเอกสารและออกจากโปรแกรม
1) ถ้าปิดเอกสาร ถ้าต้องการปิดเอกสารให้กดปุ่ม X ที่อยู่มุมขวาของเอกสารนั้น
ถ้าเอกสารนั้นยังไม่ได้ Save จะมีหน้าต่างขึ้นมาถามว่าต้องการ Save หรือไม่ ถ้าต้องการให้คลิกที่ใช่ (Yes) ถ้าไม่ต้องการให้คลิกที่ไม่ใช้ (No) แต่ถ้าต้องการยกเลิกการปิดเอกสารให้คลิกที่ยกเลิก (Cancel)
2) การออกจากโปรแกรม มีขั้นตอนดังนี้
(1) คลิกที่เมนู File
(2) เลือกที่ Exit หรือคลิกที่ปุ่ม X ที่มุมขวาของโปรแกรม

โทษของยาเสพติด

ความหมายของยาเสพติด ยาเสพติดให้โทษ หรือสิ่งเสพติดหมายถึง ยาหรือสารเคมีหรือวัตถุชนิดใดๆ เมื่อเสพเข้าสู่ร่างกายแล้วไม่ว่าจะโดยรับประทาน ดม สูบ ฉีด หรือวิธีใดก้ตาม ทำให้เกิดผลต่อร่างกายและจิตใจ ดังนี้
1. ต้องการยาเสพติดตลอดเวลา แสดงออกทางร่างกายและจิตใจ
2. ต้องเพิ่มขนาดของยาเสพติดมากขึ้น
3. มีอาการหยากหรือหิวยาเมื่อขาดยา (บางท่านจะมีอาการถอนยาเมื่อขาดยา)
4. สุขภาพทั่วไปทรุดโทรม
ถ้าพบเห็นบุคคลที่มีพฤติกรรม 4 ประการ ให้พึงสังเกตว่าอาจจะเป็นคนที่ใช้ยาเสติด

ประเภทของยาเสพติด
ปัจจุบันสิ่งเสพติดหรือยาเสพติดให้โทษมีหลายประเภท อาจจำแนกได้หลายเกณฑ์ นอกจากแบ่งตามแหล่งที่มาแล้ว ยังแบ่งตามการออกฤทธิ์และแบ่งตามกำกฎหมายดังนี้
ก.จำแนกตามสิ่งเสพติดที่มา
1. ประเภทที่ได้จากธรรมชาติ เช่น ฝิ่น มอร์ฟีน กระท่อม กัญชา
2. ประเภทที่ได้จากการสังเคราะห์ เช่น เฮโรอีน ยานอนหลับ ยาม้า แอมเฟตามีน สารระเหย
ข.จำแนกสิ่งเสพติดตามกฎหมาย
1. ประเภทถูกกฎหมาย เช่น ยาแก้ไอน้ำดำ บุหรี่ เหล้า กาแฟ ฯลฯ
2. ประเภทผิดกฎหมาย เช่น มอร์ฟีน ฝิ่น เฮโรอีน กัญชา กระท่อม แอมเฟตามีน ฯลฯ
ค.การจำแนกสิ่งเสพติดตามการออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง
1.ประเภทกดประสาท เช่น ฝิ่น มอร์ฟีน เฮโรอีน ยากล่อมประสาท ยาระงับประทสาท ยานอนหลับ สารระเหย เครื่องดื่มมึนเมา เช่นเหล้า เบียร์ ฯ
2. ประเภทกระตุ้นประสาท เช่น แอมเฟตามีน ยาม้า ใบกระท่อม บุหรี่ กาแฟ โคคาอีน
3. ประเภทหลอนประสาท เช่น แอล เอส ดี,เอส ที พี,น้ำมันระเหย
4. ประเภทออกฤทธิ์ผสมผสาน อาจกด กระตุ้น หรือหลอนประสาทผสมรวมกันได้แก่ กัญชา

สาเหตุที่ทำให้เกิดยาเสพติด
1. ติดเพราะฤทธิ์ของยา เมื่อร่างกายมนุษย์ได้รับยาเสพติดเข้าไปฤทธิ์ของยาเสพติดจะทำให้ระบบต่างๆของร่างกายเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งถ้าการใช้ยาไม่บ่อยหรือนานครั้ง ไม่ค่ยมีผลต่อร่างกาย แต่ถ้าใช้ติดต่อเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งจะทำให้มีผลต่อร่างกายและจิตใจ มีลักษณะ 4 ประการ คือ
1.1 มีความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะเสพยาหรือสารนั้นอีกต่อไปเรื่อๆ
1.2 มีความโน้มเอียงที่จะเพิ่มปริมาณของยาเสพติดขึ้นทุดขณะ
1.3 ถ้าถึงเวลาที่เกิดความต้องการแล้วไม่ได้เสพ จะเกิดอาการอยากยา หรืออาการขาดยา เช่น หาว อาจียน น้ำตาน้ำมูกไหล ทุรนทุราย คลุ้มคลั้ง โมโห ขาสติ
1.4 ยาที่เสพนั้นจะไปทำลายสุขภาพของผู้เสพทั้งร่างกาย ทำให้ซูบผอม มีโรคแทรกซ้อน และทางจิตใจ เกิดอาการทางประสาท จิตใจไม่ปกติ
2. ติดยาเสพติดเพราะสิ่งแวดล้อม
2.1 สภาพแวดล้อมภายนอกของบ้านที่อยู่อาศัย เต้มไปด้วยแหล่งค้ายาเสพติด เช่น ใกล้บรเวณศูนย์การค้า หน้าโรงหนัง ซึ่งเป็นการซื้อยาเสพติดทุกรูปแบบ
2.2 สิ่งแวดล้อมภายในบ้านขาดความอบอุ่น รวมไปถึงปัญหาชีวิตคนในครอบครัวและฐานะทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมจะทำให้เด้กหันไปพึ่งยาเสพติด การขาดความเอาใจใส่ดูแลจากพ่อแม่ และขาดการยอมรับจากครอบครัว เด็กจะหันไปคบเพื่อนร่อมกลุ่มเพื่อต้องการความอบอุ่น สภาพของกลุ่มเพื่อน สภาพของเพื่อนบ้านใกล้เคียง
2.3 สิ่งแวดล้อมทางโรงเรียน เด็กมีปัญหาทางการเรียน เนื่องจากเรียนไม่ทันเพื่อน เบื่อครู เบื่อโรงเรียน ทำให้หนีโรงเรียนไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ตนพอใจ เป็นเหตุให้ตกเป็นเหยื่อของการติดยาเซบติด
3. ติดเพราะความผิดปกติทางร่างกายและจิตใจ
ในสังคมที่วุ่นวายสับสน เปลี่ยนแปลงรวดเร้วดังเช่นปัจจุบัน ทำให้จิตใจผิดปกติง่าย หากเป็นบุคคลที่มีบุคลิกภาพอ่อนแอในทุกด้าน ทั้งอารมณ์และสติปัญญา รวมทั้งร่างกายไม่สมบูรณ์แข็งแรงก็จะหาสิ่งยึดเหนี่ยว จะตกเป้นทาสยาเสพติดได้ง่าย ผู้ที่มีอารมณ์วู่วามไม่ค่อยยั้งคิดจะหันเข้าหายาเสพติดเพื่อระงับอารมณ์วู่วามของตน เนื่องจากยาเสพติดมีคุณสมบัติในการกดประสาทและกระตุ้นประสาท ผู้มีจิตใจมั่นคง ขาดความมั่นใจ มีแนวโน้มในการใช้ยาเพื่อบรรเทาความวิตกกังวลของตนให้หมดไปและมีโอกาสติดยาได้ง่ายกว่าผู้อื่น

วิธีสังเกตผู้ติดยาหรือสารเสพติด
1. การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย สุขภาพทรุดโทรม ผอมซีด ทำงานหนักไม่ไหว ริมฝีปากเขียวคล้ำและแห้ง ร่างกายสกปรกมีกลิ่นเหม็น ชอบใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว ใส่แว่นดำเพื่อปกปิด
2. การเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ อารมณ์หงุดงิดง่าย พูดจาร้าวขาดความรับผิดชอบต่อหน้าที่ มั่วสุมกับคนที่มีพฤติกรรมเกี่ยวกับยาเสพติด สุบบุหรี่จัด มีอุปกรณ์เกี่ยวกับยาเสพติด หน้าตาซึมเศร้า ขาดความเชื่อมั่น จิตใจอ่อนแอ ใช้เงินเปลือง สิ่งของภายในบ้านสูญหายบ่อย
3. แสดงอาการอยากยาเสพติด ตัวสั่น กระตุก ชัก จาม น้ำหมูกไหล ท้องเดิน ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดที่เรียกว่า "ลงแดง" มีไข้ปวดเมื่อยตามร่างกายอย่างรนแรงนอนไม่หลับ ทุรนทุราย
4. อาสัยเทคนิคทางการแพทย์ โดยการเก็บปัสสาวะบุคคลที่สงสัยว่าจะติดยาเสพติดส่งตรวจ ใช้ยาบางชนิดที่สามารถล้างฤทธิ์ของยาเสพติด

กีฬาพื้นบ้านของไทย

การเล่นกับเด็กเป็นของคู่กันมาตั้งแต่กาลครั้งไหน คงไม่มีใครทราบได้ แต่การเล่นก็เป็นเรื่องที่สืบ เนื่องแสดงถึงเอกลักษณ์ของชนชาติหรือท้องถิ่นเป็นเรื่องที่ถ่ายทอดเข้าสู่กระแสชีวิตและตกทอดกันมาตั้งแต่ รุ่นปู่ย่าตายายของปู่ย่าตายายโน่น เอาตั้งแต่เมื่อเราเกิดมาลืมตาดูโลกก็คงจะได้เห็นปลาตะเพียนที่ผู้ใหญ่แขวน ไว้เหนือเปลให้เด็กดู “เล่น” เป็นการบริหารลูกตา แหวกว่ายอยู่ในอากาศแล้ว พอโตขึ้นมาสัก 3-4 เดือน ผู้ใหญ่ก็จะสอนให้เล่น “จับปูดำ ขยำปูนา” “แกว่งแขนอ่อน เดินไว ๆ ลูกร้องไห้ วิ่งไปวิ่งมา” โดยที่จะคิดถึงจุดประสงค์อื่นใดหรือไม่สุดรู้ แต่ผลที่ตามมานั้นเป็นการหัดให้เด็กใช้กล้ามเนื้อมือ กล้ามเนื้อแขนประสานกับสายตา



การละเล่นเป็นการส่งเสริมให้เด็ก ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และเป็นกิจกรรมที่แฝงไว้ ด้วยสัญลักษณ์ หากศึกษาการเล่นของเด็กในสังคม เท่ากับได้ศึกษาวัฒนธรรมของสังคมนั้นด้วย การละเล่นของเด็กไทย มีความหลากหลาย เช่น หมากเก็บ ว่าว โพงพาง รีรีข้าวสาร เป็นต้น



การละเล่นของเด็กแบบไทย ๆ มีมาตั้งแต่เมื่อไร

ชนชาติไทยมีมาตั้งแต่เมื่อไร การละเล่นแบบไทย ๆ ก็น่าจะมีมาแต่เมื่อนั้นแหละ ถ้าจะเค้นให้เห็นกันเป็นลายลักษณ์อักษร ก็คงต้องขุดศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง มาอ้างพอเป็นหลักฐานได้ราง ๆ ว่า

“..ใครจักมักเล่น เล่น ใครจักมักหัว หัว ใครจักมักหัว หัว ใครจักมักเลื่อน เลื่อน...”
ในตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ มีการกล่าวถึงการละเล่นของคนสมัยนั้นว่า
“...เดือนยี่ถึงการพระราชพิธีบุษยาภิเษก เถลิงพระโค กินเลี้ยงเป็นนักขัตฤกษ์ หมู่นางในก็ได้ดูชุดชักว่าวหง่าวฟังสำเนียง เสียงว่าว ร้องเสนาะลั่นฟ้าไปทั้งทิวาราตรี...”
ในสมัยอยุธยา บทละครกรุงเก่าได้กล่าวถึงการละเล่นบางอย่างที่คุณคงจะคุ้นเคยดีเมื่อสมัยยังเด็ก คือลิงชิงหลักและปลาลงอวน ในบทที่ว่า
“เมื่อนั้น โฉมนวลพระพี่ศรีจุลา ว่าเจ้าโฉมตรูมโนห์รา มาเราจะเล่นกระไรดี เล่นให้สบายคลายทุกข์ เล่นให้สนุกในวันนี้ จะเล่นให้ขันกันสักทีเล่นให้สนุกกันจริงจริง มาเราจะวิ่งลิงชิงเสา ช้างโน้นนะเจ้าเป็นแดนพี่ ช้างนี้เป็นแดนเจ้านี้ เล่นลิงชิงเสาเหมือนกัน ถ้าใครวิ่งเร็วไปข้างหน้า ถ้าใครวิ่งช้าอยู่ข้างหลัง เอาบัวเป็นเสาเข้าชิงกัน ขยิกไล่ผายผันกันไปมา
เมื่อนั้น โฉมนวลพระพี่ศรีจุลา บอกเจ้าโฉมตรูมโนห์รา มาเราจะเล่นปลาลงอวน บัวผุดสุดท้องน้องเป็นปลา ลอยล่องท่องมาเจ้าหน้านวลจะขึงมือกันไว้เป็นสายอวน ดักท่าหน้านวลเจ้าล่องมา ออกหน้าที่ใครจับตัวได้ คุมตัวเอาไว้ว่าได้ปลา
ในเรื่อง “อิเหนา” วรรณคดีสมัยรัตนโกสินทร์ก็ปรากฏการละเล่นหลายอย่าง เช่น ตะกร้อ จ้องเต ขี่ม้าส่งเมือง ดังว่า

“...บ้างตั้งวงเตะตะกร้อเล่น
เพลาเย็นแดดร่มลมสงัด
ปะเตะโต้คู่กันเป็นสันทัด
บ้างถนัดเข้าเตะเป็นน่าดู
ที่หนุ่มหนุ่มคะนองเล่นจ้องเต
สรวลเสเฮฮาขึ้นขี่คู่
บ้างรำอย่างชวามลายู
เป็นเหล่าเหล่าเล่นอยู่บนคิรี”

หรือในขุนช้างขุนแผนกก็กล่าวถึงการละเล่นไม้หึ่งไว้ว่า
“...เมื่อกลางวันยังเห็นเล่นไม้หึ่ง
กับอ้ายอึ่งอีดูกลูกอีมี
แล้วว่าเจ้าเล่าก็ช่างนั่งมึนมี
ว่าแล้วซิอย่าให้ลงในดิน”



ประเภทของการละเล่น

เนื่องจากการละเล่นของไทยเรานั้นมีมากมายจนนึกไม่ถึง (กรมพลศึกษารวบรวมไว้ได้ถึง 1,200 ชนิด) แต่พอจะแบ่งคร่าว ๆ ได้เป็น 2 ประเภท ใหญ่ ๆ คือ การละเล่นกลางแจ้ง และการละเล่นในร่ม และในแต่ละประเภทก็ยังแบ่งย่อยอีกเป็นการละเล่นที่มีบทร้องประกอบ กับที่ไม่มีบทร้องประกอบ

การละเล่นกลางแจ้งที่มีบทร้องประกอบได้แก่ โพงพาง เสือไล่หมู่ อ้ายเข้อ้ายโขง ซ่อนหาหรือโป้งแปะ เอาเถิด มอญซ่อนผ้า รีรีข้าวสาร ที่มีคำโต้ตอบ เช่น งูกันหาง แม่นาคพระโขนง มะล็อกก๊อกแก็ก เขย่งเก็งกอย ที่ไม่มีบทร้องประกอบ ได้แก่ ล้อต๊อก หยอดหลุม บ้อหุ้น ลูกดิ่ง ลูกข่าง ลูกหิน เตยหรือตาล่อง ข้าวหลามตัด วัวกระทิง ลูกช่วง ห่วงยาง เสือข้ามห้วยเคี่ยว เสือข้ามห้วยหมู่ ตี่จับ แตะหุ่น ตาเขย่ง ยิงหนังสะติ๊ก ปลาหมอ ตกกะทะ ตีลูกล้อ การเล่นว่าว กระโดดเชือกเดี่ยว กระโดดเชือกคู่ กระโดดเชือกหมู่ ร่อนรูป หลุมเมือง ทอดกะทะ หรือหมุนนาฬิกา ขี่ม้าส่งเมือง กาฟักไข่ ตีโป่ง ชักคะเย่อ โปลิศจับขโมย สะบ้า เสือกันวัว ขี่ม้าก้านกล้วย กระดานกระดก วิ่งสามขา วิ่งสวมกระสอบ วิ่งทน ยิงเป็นก้านกล้วย การละเล่นในร่มที่มีบทร้องประกอบ ได้แก่ ขี้ตู่กลางนา ซักส้าว โยกเยก แมงมุม จับปูดำขยำปูนา จีจ่อเจี๊ยบ เด็กเอ๋ยพาย จ้ำจี้
ที่ไม่มีบทร้องประกอบ ได้แก่ ดีดเม็ดมะขามลงหลุม อีขีดอีเขียน อีตัก เสือตกถัง เสือกันวัว หมากกินอิ่ม สีซอ หมากเก็บ หมากตะเกียบ ปั่นแปะ หัวก้อย กำทาย ทายใบสน ตีไก่ เป่ากบ ตีตบแผละ กัดปลา นาฬิกาทางมะพร้าว กงจักร ต่อบ้าน พับกระดาษ ฝนรูป จูงนางเจ้าห้อง การเล่นเลียนแบบผู้ใหญ่เช่นเล่นเป็นพ่อเป็นแม่ เล่นแต่งงาน เล่นหม้อข้าวหม้อแกง แคะขนมครกเล่นขายของ เล่นเข้าทรง ทายคำปริศนา นอกจากนั้นยังมีทบร้องเล่น เช่น จันทร์เอ๋ย จันทร์เจ้า ขอข้าวขอแกงแกง....และบทล้อเลียน เช่น ผมจุก คลุกน้ำปลา เห็นขี้หมานั่งไหว้กระจ๊องหง่อง เป็นต้น การละเล่นที่เล่นกลางแจ้งหรือในร่มก็ได้ที่ไม่มีบทร้อง ได้แก่ ลิงชิงหลัก ขายแตงโม เก้าอี้ดนตรี แข่งเรือคน ดมดอกไม้ปิดตาตีหม้อ ปิดตาต่อหาง โฮกปี๊บ เป่ายิงฉุบ



เด็กแต่ละภาคเล่นเหมือนกันหรือไม่

เนื่องจากในแต่ละภาคมีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างกันทั้งในด้านภาษา วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ สภาพแวดล้อม ทำให้การละเล่นของเด็ก แต่ละภาคมีความแตกต่างกันไปบ้างในเรื่องของบทร้องประกอบการละเล่น กติกา และอุปกรณ์การละเล่น แต่โดยส่วนรวมแล้วลักษณะการเล่นจะคล้ายคลึงกันเป็นส่วนใหญ่

ความแตกต่างในเรื่องของบทร้องประกอบการละเล่น

การละเล่นซึ่งมีบทร้องประกอบ บางอย่างมีลักษณะคล้ายกันหรือเหมือน ๆ กัน แต่บทร้องจะแตกต่างไปตามภาษาท้องถิ่น และเนื้อความซึ่งเด็กเป็นผู้คิดขึ้น เช่น การละเล่นจ้ำจี้ หรือ ปะเปิ้มใบพลูของภาคเหนือ จ้ำมู่มี่ของภาคอีสาน และจุ้มจี้ของภาคใต้บทร้องจ้ำจี้ภาคกลางมีหลายบท แต่บทที่เป็นที่เด็กภาคกลางร้องกันเป็น เกือบทุกคนคือ



จ้ำจี้มะเขือเปราะ กะเทาะหน้าแว่น
พายเรือออกแอ่น กระแท่นต้นกุ่ม
สาวสาวหนุ่มหนุ่ม อาบน้ำท่าไหน
อาบน้ำท่าวัด เอาแป้งที่ไหนผัด เอากระจกที่ไหนส่อง
เยี่ยม ๆ มอง ๆ นกขุนทองร้องวู้”

ปะเปิ้มใบพลูของเด็กเหนือ เป็นการละเล่นเพื่อเสี่ยงทาย เลือกข้าง ผู้เล่นนั่งล้อมวงกัน วางฝ่ามือคว่ำลงบนพื้นคนละมือ คนหนึ่งในวงจะร้องว่า

“ปะเปิ้มใบพลู คนใดมาจู เอากูออกก่อน”
หรือ “จำปุ่นจำปู ปั๋วใครมาดู เอากูออกก่อน”
หรือ “จ้ำจี้จ้ำอวด ลูกมึงไปบวช สึกออกมาเฝียะอีหล้าท้องป่อง”

จ้ำมู่มี่ของเด็กอีสาน เล่นทำนองเดียวกับจ้ำจี้ของภาคกลาง แต่ถ้าคำสุดท้ายไปตกที่ผู้ใดผู้นั้นต้องเป็นคนปิดตานับหนึ่งถึงยี่สิบ แล้วคนอื่นไปซ่อน เป็นการผนวกการละเล่นซ่อนหาเข้ามาด้วย บทร้องจ้ำมู่มี่มีทั้งสั้นและยาว
อย่างสั้นคือ “จ้ำมู่มี่ มูหมก มูมน หักขาคนใส่หน้านกก๊ด หน้าลิง หน้าลาย หน้าผีพราย หน้าหยิบ หน้าหย่อม ผอมแปํะ
อย่างยาว คือ “จ้ำมู่มี่ มูมน หักคอคนใส่หน้านกก๊ด หน้าลิง หน้าลาย หน้าผีพราย หน้าจิ๊ก หน้าก่อ หน้าหย่อมแยะ แม่ตอและ ตอหาง ตอไก่ แล้วไปฝึก ไปฟัน ให้เวียงจันทน์ คือแหวนข้างซ้ายย้ายออกตอกสิ่ว ลิวเปี๊ยะ ฉี่ไก่เปี๊ยะ ติดหางนกจอก แม่มันบอก ไก่น้อยออกซะ

การละเล่นจุ้มจี้ของเด็กภาคใต้ ก็เพื่อจะเล่นซ่อนหาเช่นกัน โดยคนที่เหลือเป็นคนสุดท้ายจากการละเล่นจุ้มจี้ จะเป็นผู้ผิดตาหาเพื่อน ๆ
เพลงที่ร้องประกอบมีหลายบท แตกต่างกันไปแต่ละท้องถิ่น จะยกตัวอย่างมา 2 บทดังนี้

“จุ้มจี้จุ้มปุด จุ้มแม่สีพุด จุ้มใบหร้าหร้า พุทราเป็นดอก หมากงอกเป็นใบ พุ้งพิ้งลงไป ว่ายน้ำตุกติก”

“จุ้มจี้จุมจวด จุ้มหนวดแมงวัน แมงภู่จับจันทน์แมงวันจับผลุ้ง ฉีกใบตองมารองข้าวแขก น้ำเต้าแตกแหกดังโผลง ช้างเข้าโรง อีโมงเฉ้ง แม่ไก่ฟักร้องก๊อกก๊อก ทิ่มคางคก ยกออกยกออก”



อุปกรณ์การละเล่นของแต่ละท้องถิ่น

ในแต่ละท้องถิ่น เด็ก ๆ จะคิดประดิษฐ์อุปกรณ์ประกอบการละเล่นหรือทำของเล่นขึ้นมาเอง โดยนำวัสดุที่มีตามธรรมชาติหาได้ใกล้ตัวมาใช้ เช่น


เด็กภาคเหนือ จะนำมะม่วงขนาดเล็กที่กินไม่ได้มาร้อยเชือกแล้วใส่เดือย นำมาใช้ตีกันเรียกว่าเล่นไก่มะม่วง
หรือนำเอาไม้เล็ก ๆ มาเล่นกับลูกมะเขือ หรือมะนาวเรียกว่า หมากเก็บ
ไม้หรือไม้แก้งขี้ เล่นเก็บดอกงิ้ว ซึ่งคนเล่นจะรอให้ดอกงิ้วหล่น ใครเห็นก่อนก็ร้อง “อิ๊บ” มีสิทธิ์ได้ดอกงิ้วดอกนั้นไปร้อยใส่เถาวัลย์ ใครได้มากที่สุดก็ชนะ
เล่นบ่าขี้เบ้าทรายก็ใช้ทรายปนดินที่นำมาปั้นเป็นก้อนกลม ๆ มากลิ้งในร่องซึ่งขุดกันริมตลิ่งแม่น้ำนั่นเอง ของเล่นที่ทำกันก็เช่น



· กล้องกบ ใช้ลำไม้ไผ่มีรูกลวงเล็ก ๆ และไม้แกนซึ่งเหลาพอดีกับรูไม้ เอาใบหญ้าขัด (ขัดมอน) นั้นเป็นก้อนยัดลงไปในรูกระบอก เอาแกนแยงจนสุดลำแล้วใส่ก้อนหญ้าอีกก้อน เอาแกนแยงเข้าไปอีกหญ้าก้อนแรกก็จะหลุดออกพร้อมกับเสียงดังโพละก้อนหญ้านี้อาจใช้ลูกหนามคัดเค้า หรือมะกรูดลูกเล็กแทนได้

· ลูกโป่งยางละหุ่ง ใช้ยางที่กรีดจากต้นละหุ่งหรือจากการเด็ดใบ หาอะไรรองน้ำยางไว้ แล้วเอาดอกหญ้าขดเป็นวงจุ่มน้ำยางให้ติดขึ้นมา ค่อย ๆ เป่าตรงกลางบ่วงดอกหญ้า ยางละหุ่งจะยืดและหลุดเป็นลูกโป่งสีรุ้งแวววาว ลอยไปได้ไกลๆ แล้วไม่แตกง่ายด้วย



ของเล่นเด็กภาคอีสาน เล่นข้าวเหนียวติดมือ โดยเอาข้าวเหนียวมาปั้นจนได้ก้อนเท่าหัวแม่มือ แบ่งผู้เล่นเป็นสองฝ่าย ให้ฝ่ายเริ่มเล่นส่งข้าวเหนียวต่อ ๆ กันโดยใช้มือประกบจนครบทุกคนแล้วให้อีกฝ่ายทายว่าข้าวเหนียวอยู่ในมือใคร

· ดึงครกดึงสาก เอาเชือกมาพันครกตำข้าว ปลายเชือก 2 ข้างผู้ไว้กลางด้ามสาก แต่ละข้างมีผู้ถือสาก 4 คน แล้วออกแรงดึงพร้อม ๆ กัน ฝ่ายใดร่นมาติดครกถือว่าแพ้

· แมวย่องเหยาะ ใช้ก้านมะพร้าวหรือก้านตาลเหลาให้เป็นเส้นเล็ก ๆ เอามาหักแล้วต่อเป็นรูปแมวย่องเหยาะ (ดังรูป) แล้วให้ผู้เล่นฝ่ายแรกเริ่มเล่นโดยใช้มือจับส่วนใดส่วนหนึ่งของแมว โดยไม่ให้อีกฝ่ายเห็น แล้วให้อีกฝ่ายทายว่าจับตรงไหน ก่อนทายจะมีคนบอกใบ้ให้ เช่น ถ้าจับตรงหัวก็แกล้งเอามือเกาหัว ถ้าทายผิด 3 ครั้ง ก็แพ้ไป

· เล่นหมากพลู นำหมาก ปูน แก่นคูน ยาเส้น มาตั้งข้างหน้าผู้เล่นเป็นกอง ๆ ให้ผู้เล่นคนแรกส่ายมือเหนือสิ่งของที่กองไว้เร็ว ๆ อีกฝ่ายหนึ่งบอกชื่อสิ่งของ 10 อย่าง คนส่ายมือก็ตะครุบของสิ่งนั้นทันทีตะครุบผิด ก็ถูกทำโทษโดนเขกเข่า



ของเล่นของเด็กภาคใต้ ทางภาคใต้ของธรรมชาติที่เด็กนำมาเล่นกันมากคือมะพร้าวลูกยาง (พารา) และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ซึ่งหาง่ายมีทุกจังหวัด

· ของเล่นจากมะพร้าว ได้แก่ ชนควายพร็อกพร้าว อุปกรณ์การเล่นคือควาย พร็อกพร้าว โดยใช้เปลือกมะพร้าวทำลำตัว กะลามะพร้าวทำเขา และเม็ดมะกล่ำดำทำตา ทำเสร็จแล้วจะได้รูปแบบนี้คนเล่นจะทำควายพร็อกพร้าวมาคนละตัว แล้วมางัดกัน โดยใช้มือจับลำตัวควายหันหน้าคว่ำลงให้เขาทาบกับพื้น งัดไปงัดมา ของใครหักคนนั้นก็แพ้

· ถีบลูกพร้าว ใช้มะพร้าวแก่จัดไม่ปอกเปลือก 1 ผล ผู้เล่นแบ่งเป็นสองกลุ่ม จับไม้สั้นไม้ยาวหรือใช้วิธี “ชันชี” เพื่อหากลุ่มผู้ถีบผลมะพร้าวกลุ่มแรก เมื่อเริ่มเล่นให้ทั้งสองกลุ่มยืนเป็นวงกลมหันหน้าเข้าหากันโดยยืนสลับกัน นำผลมะพร้าววางกลางวงวางกันมะพร้าวลงดิน จากนั้นผู้เล่นทั้งหมดจับมือกันให้แน่น ถ้าคนเล่นมี 6 คน 3 คนจะถีบยับผลมะพร้าว อีก 3 คนเป็นหลัก ถ้าฝ่ายถีบมีใครล้มก้นแตะพื้นก็แพ้ ให้ฝ่ายเป็นหลักมาถีบแทน

· ร่อนใบพร้าว นำใบมะพร้าวที่ยังติดก้านมาตัดให้ด้านที่มีก้านโตเสมอกัน ใช้มือฉีกใบมะพร้าวออกให้มีขนาดเท่ากัน วิธีเล่นคือจับใบมะพร้าวชูขึ้นเหนือไหล่ จับส่วนที่เป็นใบซึ่งฉีกออกแล้วขว้างไปสุดแรง ใบมะพร้าวก็จะหลุดออกจากก้าน ใครขว้างได้ไกลที่สุดก็เป็นผู้ชนะ

· ของเล่นจากลูกยาง ชักลูกยาง นำลูกยาง (พารา) มาเจาะเอาเนื้อออกหมด เจาะรูด้านบนด้านล่างและด้านข้าง ใช้ไม้ไผ่เหลาแล้วผูกติดกับเชือกด้ายสอดไม้ไผ่เข้าไปในเมล็ดยางทางรูด้านบนหรือด้านล่าง ดึงเชือกด้ายออกมาทางรูด้านข้าง ติดไม้ไผ่แบน ๆ ทางด้านบน 1 ชิ้น เมื่อจะเล่นหมุนแกนให้เชือกด้ายม้วนเข้าไปอยู่ในลูกยางจนเกือบสุด ดึงปลายเชือกแรง ๆ แล้วปล่อย แกนไม้ไผ่ก็จะหมุนไปหมุนมาตามแรงดึง ผู้เล่นต้องดึงและปล่อยกลับอยู่เรื่อย ๆ จะทำให้แกนและไม้ไผ่แบน ๆ ด้านบนกระทบกันของใครไม้ไผ่หลุด คนนั้นก็แพ้

· ตอกเมล็ดยางพารา สถานที่เล่นควรเป็นพื้นไม้หรือซีเมนต์ ผู้เล่นมี 2 คน จับไม้สั้นไม้ยาวเพื่อหาฝ่ายตั้งและฝ่ายตี ฝ่ายตีจะนำเมล็ดยางของฝ่ายตั้ง ตั้งลงกับพื้น แล้วนำเมล็ดยางของตัวเองวางข้างบนของฝ่ายตั้ง ใช้มือข้างหนึ่งจัดเมล็ดยางทั้งสองซ้อนกัน มืออีกขัางกำหรือแบตามถนัดตอกลงบนเมล็ดยางที่ซ้อนอยู่ ถ้าของฝ่ายใดแตก ฝ่ายนั้นก็แพ้

· เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ เล่นฟัดราว ต้องมีราวรางบนไม้หลักหรือกะลา มะพร้าวอย่างในรูป แล้วขีดเส้นเรียกว่า “น้ำ” สำหรับ “ฟัด” หรือขว้างระยะห่างไม่ใกล้ไม่ไกลนักแล้วผู้เล่นก็จะตกลงกันว่าจะลงหัวครก (เมล็ดมะม่วงหิมพานต์) คนละกี่ลูก แล้วเอาหัวครกทั้งหมดที่ลงกองกลางมาเรียงบนราว จากนั้นก็ผลัดกันยืนที่เส้น “น้ำ” แล้ว “ฟัด” (ขว้าง) หัวครก เมล็ดไหนตกพื้น คนฟัดก็ได้ไป เล่นจนกว่าจะเบื่อ เมื่อเลิกก็เอา “หัวครก” ที่ได้ใส่กระเป๋ากลับบ้าน หรือจะเผากันกันตรงนั้นเลยก็ได้



คุณค่าของการละเล่นไทย

การละเล่นของไทย เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมพื้นบ้านเท่า ๆ กันกับเป็นการสะท้อนวิถีชีวิต ความคิด ความเชื่อของคนในท้องถิ่นนั้น ๆ มาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน และเนื่องจากเป็นการ “เล่น” ซึ่งผู้ใหญ่บางคนอาจไม่เห็นคุณค่า นอกจากเห็นว่าเป็นแค่เพียงความสนุกสนานของเด็ก ๆ หนำซ้ำการละเล่นบางอย่างยังเห็นว่าเป็นอันตราย และเป็นการบ่มเพาะนิสัยการพนันอีก เช่น ทอยกอง หว่าหากจะมอง วิเคราะห์กันอย่างจริงจังแล้ว คุณค่าของการละเล่นของไทยเรานี้มีนับเอนกอนันต์ ดังจะว่าไปตามหัวข้อ
ต่อไปนี้

ประโยชน์ทางกาย

อันได้จากการออกกำลังทั้งกลางแจ้งและในร่ม เริ่มตั้งแต่เด็กเล็ก ๆ เล่น “จับปูดำ ขยำปูนา” หรือ “โยกเยกเอย น้ำท่วมเมฆ” เด็กก็จะได้หัดใช้กล้ามเนื้อต่าง ๆ ในตัวพร้อมกับทำท่าให้เข้ากับจังหวะ พอโตขึ้นมาหน่อยก็จะชอบเล่นกลางแจ้งกับเด็กคนอื่น ๆ เป็นกลุ่มเล็กบ้างใหญ่บ้าง เช่น ขี่ม้าก้านกล้วย ตาเขย่ง ตีลูกล้อ วิ่งเปี้ยว ขี่ม้าส่งเมือง ตี่จับ เตย ฯลฯ การละเล่นบางอย่างมีบทร้องประกอบทำให้สนุกครึกครื้นเข้าไปอีก อย่าง รีรีข้าวสาร โพงพาง มอญซ่อนผ้า อ้ายเข้อ้ายโขง งูกินหาง นอกจากจะได้ออกกำลังกายแล้วยังได้ฝึกความว่องไว ฝึกความสัมพันธ์ของการเก็งจังหวะแขนเท้า เช่น กาฟักไข่ ได้ฝึกการใช้ทักษะ ทางตาและมือในการเล็งกะระยะ เช่น การเล่นลูกหิน ทอยกอง

· ฝึกความสังเกต ไหวพริบ และการใช้เชาวน์ปัญญา จากการละเล่นหลายชนิดที่ต้องชิ่งไหวชิงพริบกันระหว่างการต่อสู้ เช่น การเล่นกาฟักไข่ ผู้ขโมยจะหลอกล่อชิงไหวชิงพริบกับเจ้าของไข่ ซึ่งต้องคอยระวัง คาดคะเนไม่ให้ใครมาขโมยไข่ไปได้ หรือการเล่นแนดบกของทางเหนือ ผู้เล่นจะรู้สึกสนุกกับ การล่อหลอกแนดให้มาแตะ แล้วตัวเองต้องไวพอที่จะวิ่งเข้าวงก่อน การเล่นเตยหรือ ต่อล่อง คนล่องก็จะหลอกล่อให้ผู้กั้นเผลอ เพื่อให้ฝ่ายตนไปได้และผู้กั้นก็ต้องคอยสังเกตให้ดีว่า ใครจะเป็นคนผ่านไป

· ฝึกวินัยและการเคารพต่อกติกา การละเล่นทุกอย่างมีกฏในตัวของมันเอง ซึ่งก็มาจากพวกเด็กนั่นเองเป็นคนช่วยกันกำหนดตกลงกันขึ้นมา การเล่นจึงดำเนินไปได้ โดยจะเห็นได้จากก่อนเล่นก็จะมีการจับไม้สั้นไม้ยาว เป่ายิงฉุบ จุ่มจะหลี้ (ของทางเหนือ คล้าย ๆ จ่อจีเจี๊ยบ) หรือ ฉู่ฉี้ (เป่ายิงฉุบของทางภาคใต้ มีปืน น้ำ ก้อนอิฐ แก้ว (น้ำ) หากใครไม่ทำตามกติกาก็จะเข้ากลุ่มเล่นกับเพื่อน ๆ ไม่ได้ เป็นการฝึกการปรับตัวเข้ากับคนอื่นโดยปริยาย

· ฝึกความอดทน เช่น ขี่ม้าส่งเมือง ผู้แพ้จะต้องถูกขี่หลังไปไหน ๆ ก็ได้ บางคนตัวเล็กถูกคนตัวใหญ่ขี่ก็ต้องยอม ถ้าไม่ทนก็เล่นกันไม่ได้ หรือเสือข้ามห้วย คนเป็น “ห้วย” ต้องอดทนทำท่าหลายอย่างให้ผู้เป็น “เสือ” ข้าม บางครั้งต้องเป็น “ห้วย” อยู่นาน เพราะไม่มีเสือตัวใดตาย หรือหา “เสือ” ข้ามได้หมด “ห้วย” ก็ถูกลงโทษ ถูก “เสือ” หามไปทิ้งแล้ววิ่งหนี “ห้วย”

· ฝึกความสามัคคีในคณะ อย่างเช่น ตี่จับในขณะที่ผู้เล่นของฝ่ายหนึ่งเข้าไป “ตี่” เพื่อให้ถูกตัวผู้เล่นอีกฝ่ายหนึ่ง แล้วจะได้วิ่งกลับฝ่ายของตน โดยไม่ถูกจับเป็นเชลยนั้น ผู้เล่นอีกฝ่ายต้องพร้อมใจกันพยายามจับผู้เข้ามา “ตี่” ไว้อย่าให้หลุดมือ เพราะถ้าหลุดกลับไปฝ่ายของตน ผู้เล่นอีกฝ่ายหนึ่งจะต้องกลับไป เป็นเชลยทั้งกลุ่ม หรืออย่างชักคะเย่อ ผู้เล่นของแต่ละฝ่ายต้องพร้อมใจกันออกแรงกันสุดฤทธิ์สุดเดช เพื่อให้เครื่องหมายที่กึ่งกลางของเชือกเข้าไปอยู่ฝ่ายตน

· ฝึกความซื่อสัตย์ ผู้เล่นเป็นคนหาต้องผิดตาให้มิดในขณะที่คนอื่น ๆ วิ่งไปซ่อน อย่างคำร้องประกอบการเล่นชนิดนี้ว่า “ปิดตาไม่มิด สารพิษเข้าตา พ่อแม่ทำนา ได้ข้าวเม็ดเดียว” หรือหมากเก็บอีตัก ถ้ามือของผู้เล่นไปแตะถูกก้อนหินหรือเม็ดผลไม้ก็ต้องยอม “ตาย” ให้คนอื่นเล่นต่อ แม้ว่าคนอื่นจะไม่เห็นด้วยก็ตาม

· ฝึกความรับผิดชอบ การปฏิบัติตามกติกาไม่ว่าจะเป็นการเล่นอะไร ถือว่าเป็นการแสดงความรับผิดชอบของผู้เล่น เช่น เล่นหมุนนาฬิกา ผู้เล่นทุกคนต้องจับมือกันให้แน่นแล้วหงายตัว เอาเท้ายันกัน คนยืนสลับต้องจับมือคนหนึ่งให้แน่น ๆ แล้ววิ่งรอบ ๆ เป็นวงกลมเหมือนนาฬิกา ทุกคนจึงต้องรับผิดชอบจับมือหรือยันเท้าให้มั่น จึงจะหมุนได้สนุก



การละเล่นของเด็กไทยสะท้อนความเป็นไทย

การละเล่นของเด็ก บทร้องประกอบการเล่น ตลอดจนสิ่งต่าง ๆ ที่เด็ก ๆ ใช้เป็นของเล่นสะท้อนให้เห็นสภาพความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมประเพณี ค่านิยม และความเชื่อของคนไทยในสมัยก่อนได้อย่างชัดเจน เห็นภาพ ดังต่อไปนี้

· ภาพของเด็กไทยสมัยก่อน จากบทร้องล้อเลียน “ผมจุก คลุกน้ำปลา เป็นขี้หมา นั่งไหว้ กระจ๊องหง่อง” หรือ “ผมแกละ กระแดะใส่เกือก ตกน้ำตาเหลือก ใส่เกือกข้างเดียว” ก็ทำให้เห็นภาพเด็กสมัยโบราณที่ส่วนใหญ่ไว้ผมจุก ผมแกละกันทั้งเมือง

· ความเป็นอยู่ของผู้ใหญ่ จากบทร้องจ้ำจี้ “สาวสาวหนุ่ม อาบน้ำท่าไหน อาบน้ำท่าวัด” ทำให้นึกภาพของบ้านเรือนสมัยโบราณซึ่งมักอยู่กันริมน้ำ อาบน้ำกันที่ท่า สัญจรกันด้วยเรือเป็นส่วนใหญ่ หรือการละเล่นชนควายด้วยศรีษะ ชนควายพร็อกพร้าว เป็นการเลียนแบบการชนควายชนวัวซึ่งเป็นที่นิยมกันมากทางภาคใต้ ส่วนทางภาคอีสานก็มีการละเล่นดึงครกดึงสาก ซึ่งเป็นอุปกรณ์หลักในการทำมาหากินเพื่อดำรงชีพของชาวนา เป็นต้น

· สะท้อนการทำมาหากินของคนไทย มีการละเล่นและบทร้องประกอบการละเล่นหลายอย่างที่กล่าวถึงข้าววัวควายที่ช่วยไถนาและการทำนาอันเป็นอาชีพหลักของคนไทยตั้งแต่โบราณถึงปัจจุบัน อย่าง รีรีข้าวสาร การเล่นขโมยลักควาย (ทางใต้) นอกจากทำนาแล้วยังมีการค้าขายจับปลา เช่น เล่นขายแตงโมซึ่งมีบทเจรจา ผู้เล่นสมมติ เป็นแตงโม มีผู้มาซื้อและพูดกับเจ้าของ โพงพาง มีบทร้องที่ว่า”ปลาตาบอดเข้าอดโพงพาง” หรือผีสุ่ม กล่าวถึงการจับปลาโดยใช้สุ่ม

· ความเชื่อ การละเล่นบางอย่างสะท้อนให้เห็นความเชื่อของชาวไทยในเรื่องไสยศาสตร์ เช่นการละเล่นที่มีการเชิญคนทรงอย่าง แม่ศรี ลิงลม ย่าด้ง เป็นต้น ทางภาคอีสานจะมีการละเล่นที่สะท้อนความเชื่อหลายอย่างเช่น เล่นนางดงแล้วจะขอฝนได้สำเร็จ เล่นผีกินเทียนแสดงความเชื่อเรื่องผี มีทั้งกลัวและอยากลองผสมกัน หรือผีเข้าขวด ซึ่งมีทั้งภาคอีสานและทางภาคใต้ ทางอีสานก็มีเล่นแม่นาคพระโขนง และมะล๊อกก๊อกแก๊ก ซึ่งเป็นบทโต้ตอบระห่างผู้เล่นที่สมมุติ เป็นผีกับเด็กคนอื่น ๆ แล้วจบลงที่ผีวิ่งไล่จับเด็กเป็นผีกับเด็กคนอื่น ๆ แล้วจบลงที่ผีวิ่งไล่จับเด็เป็นที่น่าสนุกสนานและ ตื่นเต้นด้วยความกลัวผีไปพร้อม ๆ กัน

· ค่านิยม ในเรื่องของมารยาท ถือว่าคนมีมารยาทเป็นคนมีบุญ คนที่มารยาททรามเป็นคนอาภัพ ดังในคำร้องจ้ำจี้ว่า
“จ้ำจี้เม็ดขนุน ใครมีบุญได้กินสำรับ
ใครผลุบผลับ ได้กินกะลา (หรือกินรางหมาเน่า)”
เกี่ยวกับความสัมพันธ์ในครอบครัว มีบทร้องว่าลูกเขยต้องกตัญญูต่อแม่ยาย ในบทเล่นจ้ำจี้อีกบทว่า
“จ้ำจี้ดอกเข็ม มาเล็มดอกหมาก
เป็นครกเป็นสาก ให้แม่ยายตำข้าว
เป็นน้ำเต้า ให้แม่ยายเลียงชด
เป็นชะมด ให้แม่ยายฝนทา ฯลฯ
ค่านิยมที่แม่มีลูกชายก็พาไปบวช ถือเป็นกุศลแก่คนเป็นแม่ว่า
“จ้ำจี้จ้ำจวด พาลูกไปบวชถึงวัดถึงวา ฯลฯ
การยกย่องขุนนางว่าเป็นผู้ได้ผลประโยชน์กว่า ว่า
“ซักส้าวเอย มะนาวโตงเตง
ขุนนางมาเอง มาเล่นซักส้าว
มือใครยาว สาวได้สาวเอา
มือใครสั้น เอาเถาวัลย์ต่อเข้า”



คุณค่าทางวรรณศิลป์




บทร้องประกอบการละเล่นของเด็กไทย หากไม่อยู่ในรูปของฉันทลักษณ์ ก็จะมีคำคล้องจองกันอยู่ในรูปของฉันลักษณ์ ก็จะมีคำคล้องจองกันมีสัมผัสนอกสัมผัสใน เท่ากับเป็นการแทรกซึมวิสัยความเป็นเจ้าบทเจ้ากลอนกันตั้งแต่ยังเป็นเด็กตัวเล็กตัวน้อยกันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นของภาคกลาง
ภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้ ซึ่งในแต่ละภาคก็จะสอดแทรกภาษาท้องถิ่นของตนเข้าไปด้วยนอกจากนั้นมีการเลียนเสียงต่าง ๆ หรือออกเสียงแปลก ๆ ซึ่งทำให้เด็ได้ฝึกลิ้น เช่น
เลียนเสียงนก “จ้ำจี้เม็ดขนุน...นกขุนทองร้องวู้”
เลียนเสียงกลอง “ผมเปียมาเลียใบตอง พระตีกลอง ตะลุ่มตุ่มเม้ง”
เลียนเสียงร้องไห้ “ขี้แย ขายดอกแค ขายไม่หมดร้องไห้แงแง”
คำแปลก ๆ มักจะปรากฎบ่อยมาก แม้ว่าจะไม่มีความหมายแต่ฟังแล้วก็รู้สึกสนุก ทำให้เด็กชอบ เช่น “เท้งเต้ง” “โตงเตงโตงเว้า” “กระจ๊องหง่อง” “ออระแร้ ออระชอน” “มะล้อกก๊อกแก๊ก” “จีจ่อเจี๊ยบไ “ตะโลนโพนเพน” “ตุ๊ยตู่ ตุ๊มเดี่ยว”
บางบทใช้ภาพพจน์ทำให้เกิดความงามในภาษา เช่นบทร้องของทางใต้บทหนึ่งว่า “เชโคโยย่าหนัด ฉัดหน้าแข้ง เดือนแจ้ง ๆ มาเล่นเชโชค”
ทร้องบาทบทใช้คำท่เป็นสัญลักษณ์แฝง ความหมายในแง่เพศสัมพันธ์ เช่น
“จ้ำจี้มะเขือพวง เมียน้อยเมียหลวง
มากินก้ามกุ้ง ก้ามกุ้งร้องแง้
มาสอยดอกแค มาแหย่รูปู
อีหนูตกระได กลางคืนเมาเหล้า
เตะหม้อข้าวปากปิ่น หม้อข้าววิ่งหนี
สาระพีเล่นกล กระจ่าสวดมนต์
รับศีลรับพระ”

คุณค่าในการใช้ภาษาสื่อสาร

เป็นที่น่าสังเกตว่าบทร้องและบทเจรจาโต้ตอบนั้นมีคุณค่าในการสื่อสารอยู่มาก กล่าวคือ ทำให้เด็ก ๆ ได้คุ้นเคยกบคำที่ใช้เรียกชื่อ หรือใช้บอกกริยาอาการต่าง ๆ ช่วยให้เด็กได้มีพัฒนาการทางภาษาโดยไม่รู้ตัว ในบทเจรจาโต้ตอบก็เป็นคำถาม คำตอบสั้นๆ มีเนื้อความเป็นเรื่องเป็นราวเป็นคำพูดในชีวิตประจำวันบ้าง ดังในบทเล่นแม่งูหรือแม่งูสิงสางของภาคเหนือ บักมี่ดึงหนังของภาคอีสาน หรือฟาดทิงของทางใต้



บทโต้ตอบบักมี่ดึงหนัง

ถาม ขอกินบักพ่าวแน (มะพร้าว)
ตอบ ยังบ่ได้ต่อย (สอย)
ถาม ขอกินกลอยแน
ตอบ บ่ทันได้นึ่ง
ถาม ขอกินบักมี่สุกแน
ตอบ หน่วยใดสุกเอาเลย


บทโต้ตอบฟาดทิง
แม่ทิง มาแต่ไหน
ผู้เล่น มาแต่เผาถ่าน
แม่ทิง เผาถ่านทำไหร (ทำอะไร)
ผู้เล่น เผาถ่านตีเมด (มีด)
แม่ทิง ตีเมดทำไหร
ผู้เล่น ตีเมดทำไหร
ผู้เล่น ตีเมดเหลาหวาย
แม่ทิง เหลาหวายทำไหร
ผู้เล่น เหลาหวายสานเชอ (กระเชอ)
แม่ทิง สานเชอทำไหร
ผู้เล่น สานเชอใสทิง
แม่ทิง ทิงไหน
ผู้เล่น ทิงนั่นเเหละ (ชี้ไปที่แม่ทิง)



การใช้ภาษาในการเล่นทายปริศนา

ปริศนาหรือคำทายต่าง ๆ ที่เด็ก ๆ ชอบเล่นทายกันนั้นวิเคราะห์ได้ว่า เป็นวิธีการที่ส่งเสริมพัฒนาการทางความคิดสัมพันธ์กับการใช้ภาษาทั้งนี้เพราะปริศนาก็คือ การตั้งคำถามให้เด็กคิดถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ตนเคยพบ เคยห็นมา ใครช่างสังเกตรู้จักคิดเปรียบเทียบความหมายของคำทายกับสิ่งที่ตนเคยพบเห็น ก็สามารถทายถูก ความสนุกจากการทายถูกจะเป็นแรงจูงใจให้เด็กพยายามใช้ความสังเกตควบคู่ไปกับการใช้ภาษาเพิ่มขึ้น เช่น



อะไรเอ่ย เรือนสองเสา หลังคาสองตับ นอนไม่หลับลุกขึ้นร้องเพลง
คำตอบ ไก่ขัน

อะไรเอ่ย ซื้อมาเป็นสีดำ นำไปใช้กลายเป็นสีแดง พอสิ้นแรง กลายเป็นสีเทาต้องเอาไปทิ้ง
คำตอบ ถ่าน

(ภาคเหนือ) ตุ้มกุ๋บขึ้นดอย ก้าบฝอยล่องห้วย (หลังนูน ๆ ขึ้นดอย ครบฝอยไปตามลำธาร)
คำตอบ เต่าและกุ้ง

(ภาคใต้) พร้าวเซกเดียวอยู่บนฟ้า คนทั้งพาราแลเห็นจบ
คำตอบ พระจันทร์เสี้ยว



(ภาคอีสาน) ช่างขึ้นภู ต๊บหูปั๊ว ๆ แมนหญัง (ช้างขึ้นภูเขา ตบหูปั๊ว ๆ อะไรเอีย)
คำตอบ หูกทอผ้า



นับวันการละเล่นของไทยจะหายไป

นี่คือความเป็นจริงที่น่าเสียดายเช่นเดียวกับประเพณีของไทยอีกหลาย ๆ อย่าง ซึ่งจะอยู่ยงคงได้ก็ต่อเมื่อคนไทยเท่านั้นที่รับสืบทอดมาปฏิบัติ โดยมิอาจจะอนุรักษ์เก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ดังเช่น วัตถุโบราณได้ เมื่อยุคสมัยผันแปรไป ค่านิยม ความเป็นอยู่ก็เปลี่ยนแปลงไปจากวิถีการดำรงชีวิตในอดีตอย่างมากมาย
น่าเสียดายที่ว่าในปัจจุบันของเล่นต่าง ๆ มากมายทั้งที่มีประโยชน์และไม่มีประโยชน์ได้เข้ามาแทนที่การละเล่นต่าง ๆของสมัยก่อนซึ่งแทบจะไม่ต้องใช้อุปกรณ์อะไรเลย หรือถ้ามีก็จะเป็นอุปกรณ์การเล่นที่นำมาจากธรรมชาติ หรือของใช้ในครัวเรือน หรือไม่ก็คิดประดิษฐ์กันเอาเองไม่ต้องซื้อหา
ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งคือ โทรทัศน์ และวิดีโอ ซึ่งเด็กสมัยนี้ติดกันมาก แทบจะแกะตัวออกมาจากหน้าจอไม่ได้ จึงไม่น่าสงสัยเลยว่าทำไมเด็กสมัยนี้ถึงมีร่างกายกระปรกกระเปรี้ย สายตาสั้นพัฒนาการทางภาษาไม่กว้างไกล นี่ยังไม่นับเด็กอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นเด็กวัยรุ่นหรืออย่างเข้าวัยรุ่นที่กำลังหลงแสงหลงเสียงเพลงในตลับ ซึ่งภาษาในเนื้อเพลงแทบจะหาคุณค่าทางวรรณศิลป์ไม่เจอเอาเสียเลย
เป็นเรื่องน่าคิดว่า สิ่งที่เข้ามาแทนที่ของเก่านั้น ผู้เป็นพ่อแม่หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับเด็กไทยทั้งหลายได้เลือกสรรสิ่งที่มีคุณค่าและประโยชน์แก่เด็กอย่างแท้หรือไม่



ทัศนะต่อการละเล่นของเด็กไทย



พต.หญิง คุณหญิงผะอบ โปษะกฤษณะ ผู้ก่อตั้งโครงการเผยแพร่เอกลักษณ์ไทย สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นท่านผู้หนึ่งที่ทำการวิจัย และรวบรวมการละเล่นของเด็กภาคกลาง ภาคใต้ ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้กรุณาให้ทัศนะถึงเรื่องนี้ว่า
“ประโยชน์ของการเล่นไม่ใช้แค่ให้เติบโตแข็งแรง มันยังให้ความรับผิดชอบ การรักษาระเบียบวินัย ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่เรากำลังไขว่คว้าหากันอยู่ การเล่นจะทำให้เกิดความเคารพกติการ รู้แพ้ รู้ชนะ ฝึกจิตใจให้เป็นคนดี และได้หัดภาษาไทยด้วย
การเล่นของเด็กไทยโบราณก็นำมาใช้ได้ดีกับเด็กยุคนี้ เพราะมันเล่นที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องใช้ที่กว้างก็ได้ วัสดุการเล่นก็ใช้ตามท้องถิ่นได้สบาย แต่การเล่นบางอย่างที่มีการพนันด้วยก็ไม่ดี อย่างโยนหลุม ทอยกอง หรือยิงหนังสติ๊ก มันก็อันตราย ต้องระวัง
เด็กวัยรุ่นสมัยนี้ไปเล่นเพลง เล่นเทปกันหมด นอนฟังในห้อง ไม่ค่อยจะไปไหน แล้วยังทีวี วิดีโอ พ่อแม่ก็ปรนเปรอให้ เลยไม่รู้จักการเล่น ไปเพลิดเพลินกับเสียงแสงสีเสียงหมด การเล่นกลางแจ้งกายไป ความจริงการเล่นกลางแจ้งมีประโยชน์มาก มันได้อากาศบริสุทธิ์ อวัยวะต่าง ๆ มีการเคลื่อนไหวเติบโต ผู้ใหญ่ก็เล่นได้ ดิฉันนี่เล่นจนถึง ม.8 เลย อย่างวิ่งเปี้ยว วิ่งสามขา วิ่งกระสอบ สะบ้า สนุกมาก
และอีกทัศนะหนึ่งจาก
ดร.จรวยพร ธรณินทร์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านพลศึกษา กรมพลศึกษากระทรวงศึกษาธิการว่า
“ในหลักสูตรชั้นประถมมีการละเล่นคละกันทั้งไทย และที่ดัดแปลงจากต่างประเทศ ของไทยก็มีตั้งแต่ วิ่งวัวเป็นตัน แต่จะไม่เป็นรูปแบบที่เป็นทางการ มีเพื่อให้เด็กสนุกได้ออกกำลัง และเพื่ออนุรักษ์การเล่นของเก่าให้คงอยู่
สาเหตุที่การละเล่นของไทยเสื่อมความนิยมไปก็เนื่องมาจากการมีกีฬาสากลเข้ามาเล่นกันมาก และมีการส่งเสริมแข่งขันจนเป็นที่แพร่หลายกว่า
บ้านเมืองเจริญขึ้น คนต้องต่อสู้กับเศรษฐกิจโอกาสที่จะเล่นก็น้อยลงไม่มีหน่วยงานใดรับผิดขอบในการอนุรักษ์เรื่องนี้โดยตรง
เด็กไทยโดยเฉพาะในกรุงเทพฯเรียนหนักขึ้นแข่งขันกันมากขึ้น มีการเน้นการพัฒนาความเป็นเลิศทางวิชาการ จนไม่สนใจการเล่น
คนไทยใช้เวลาพักผ่อนกับการดูทีวี วิดีโอ หรือฟังวิทยุกันมาก ซึ่งเป็นเรื่องน่ากลัวเพราะไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกาย
และการเล่นแบบไทย ยังไม่ได้จัดเข้าระบบการแข่งขันแบบสากลมันจึงไม่เร้าใจ ไม่สามารถจะอยู่คงทนต่อไปได้ หากมีการอนุรักษ์เป็นประเพณีท้องถิ่นก็จะอยู่ได้ถาวร
การละเล่นของไทยเป็นสิ่งที่สะท้อนความเป็นไทย ถ้าไม่มีการเล่นกันต่อไปมันก็จะสูญ ถ้าไม่มีการกระตุ้น สนับสนุน ต่อไปก็จะไม่เหลือ เราต้องช่วยกันคิดว่าทำอย่างไรมันจึงจะแพร่หลาย”
ขอขอบพระคุณ : พต.หญิงคุณหญิง ผอบโปษะกฤษณะ ประธานอนุกรรมการเผยแพร่เอกลักษณ์ของไทยที่กรุณาให้คำแนะนำปรึกษารวมทั้งเอกสารประกอบการค้นคว้า และสไลด์ภาพประกอบการละเล่นของเด็กไทย
: คุณจิตรลดา ทัชชะวณิช หัวหน้าบรรณารักษ์ห้องสมุดสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีที่กรุณาอำนวยความสะดวกในการค้นคว้าเรื่องการละเล่นของเด็กไทยนี้



คำอธิบายศัพท์




กระจ่า
(ดู จ่า)

กระชัง
เครื่องมือเลี้ยงหรือขังสัตว์น้ำ มักผูกขนาบข้างด้วยทุ่น มีทั้งรูปกลม เหลี่ยมมีขนาดใหญ่เล็กตามต้องการ

กระชอน
กรองกะทิ สิ่งที่ใช้แยกกากมะพร้าว-น้ำกะทิ ลักษณะค่อนข้างโปร่ง และมีไม้พาดขอบภาชนะ

กระด้ง
ลักษณะแบนกลม สำหรับร่อน แยกสิ่งของ หรือใช้วางสิ่งของตากแดดตากลม

กระดิ่ง
โลหะมีลูกกระทบ ทำให้เกิดเสียง ใช้บอกสัญญาณ ต่าง ๆ

กระต่าย
ขูดมะพร้าว ลักษณะคล้ายม้านั่งปลายติดเหล็กหยักแหลมสำหรับครูดเอาเนื้อมะพร้าวออกมาเป็นเส้น ๆ ฝอยเหตุที่เรียกว่ากระต่าย เข้าใจว่าเดิมทำเป็นรูปกระต่าย บางท้องถิ่นทำเป็นรูปแมวหรือจระเข้ เป็นต้น

กระติบข้าว
ภาชนะสานลักษณะสูง มีฝาปิด สำหรับใส่ข้าวเหนียวนึ่ง เชือกห้อยสำหรับสะพาย




กระบอกเสียบกระจ่า
ลำไม้ไผ่ เจาะช่องแขวนติดกับผนังหรือเสาในครัวไฟสำหรับเสียบกระจ่า




กระบุง
ภาชนะสาน ปากกลม ก้นเหลี่ยม มีความลึกมักใช้ใส่สิ่งของหาบสะพาย

กระบุง
เมืองแพร่ กระบุงมีลักษณะป้อมกลม เก็บขอบในตัว




กระเป๋ากะเหรี่ยง
ภาชนะสาน มีฝาปิด มีเชือกผูก สำหรับสะพายใช้ในหมู่ชาวกะเหรี่ยง




กระสวย
เครื่องมือสำหรับพุ่งสอดด้าย สอดประสานกับด้ายยืนโดยมีหลอดด้ายอยู่ภายในกระสวย

กระออม
ภาชนะจักสาน ทึบ ยาร่องมิดชิด มีหูหิ้ว ใช้ตักน้ำ

กร่ำ
การเอากิ่งไผ่สุมกันไว้ให้ดูรก หรือปลูกพืชน้ำต่าง ๆ สุมกันไว้ เพื่อพรางปลาว่าเป็นแหล่งอาหารธรรมชาติ ทิ้งไว้ให้ปลามาชุมนุม กันมากพอแล้วจึงเอาตะแกรงหรือเฝือกรุกไล่จับเอาไว้ใช้จับปลา

กรบ
เครื่องมือแทงสัตว์น้ำ รูปร่างคล้ายแหลนสามเส้า

กรอนอ
ภาชนะสานด้วยใบมะพร้าว สำหรับใส่หญ้าให้วัวกิน พบใช้แถบหมู่บ้านมุสลิมภาคใต้

กลองแอว
กลองหน้าเดียว มีขนาดยาวมาก พบใช้ในพิธีแห่ครัวทานทางภาคเหนือ




ก๋วยตีนจ๊าง
(ดู สลากเล้า)

ก่องข้าว
ภาชนะสาน กษณะแบนกลมรี มีฝาปิด สำหรับใช่ข้าวเหนียวนึ่ง พบใช้ทางภาคเหนือกล่องใส่เมล็ดพันธุ์พืช ภาชนะเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืช มีฝาปิดอย่างมิดชิด

กะโบม
ภาชนะไม้ คล้ายถาดขนาดใหญ่ สำหรับผึ่งข้าวเหนียวที่นึ่งสุกร้อน ๆ ให้คลายไอร้อนออก ก่อนบรรจุในภาชนะ พบใช้ทางภาคอีสาน
และภาคเหนือซึ่งเรียกกัวะข้าว

กะพ้อม
( ดู พ้อม)

กะเหล็บ
ภาชนะสาน มีฝาปิด สำหรับใส่เสื้อผ้า พบใช้ในพิธีแต่งงานของชาวโซ่ง

กุ๊บ
หมวก รูปกลม ปีกกว้างรูปวงหลม ยอดแหลม มีรังหมวก พบใช้ทางภาคเหนือ

เก็บเกี่ยว
การ ใช้เคียวเกี่ยวข้าว เมื่อข้าวสุกเหลืองอร่ามทั้งทุ่ง

เกราะ
เครื่องตีกระทบ ทำจากลำไผ่กลวง มีลูกเสียงกระทบอยู่ภายใน แขวนไว้ที่คอสัตว์เลี้ยง

เกวียน
พาหนะทำด้วยไม้ ลากจูงด้วยวัวควาย เป็นพาหนะในสมัยที่ยังไม่มีรถยนต์ใช้

เกวียนควาย
เกวียนขนาดใหญ่ พบใช้ทางภาคตะวันออกของประเทศแถบชลบุรี ปราจีนบุรี เป็นต้น

เกวียนวัว
เกวียนขนาดย่อมกว่าเกวียนควาย พบใช้ทั่วไป แทบทุกท้องถิ่นของประเทศ

แกะ
เครื่องมือเกี่ยวข้าว มีลักษณะการเก็บคล้ายเด็ดข้าวทีละรวงมิใช่จับรวมเป็นกำ (แบบที่ใช้กับเคียวทั่วไป) ใช้ทางภาคใต้ และพบว่าชาวเขา ทางเหนือใช้เช่นกัน

กี่ทอผ้า
เครื่องใช้ในการทอผ้า มีส่วนประกอบมากมาย มักพบวางตามใต้ถุนเรือน เพราะเป็นภารกิจสำคัญของผู้หญิงในชนบท

ขลุ่ย
เครื่องดนตรีชนิดเป่า โดยใช้นิ้ว 2 มือ กัก-ปลอย เสียงตามรูซึ่งเจาะอยู่ที่ตัวขลุ่ย

ขอฉาย
เครื่องมือเกี่ยวหรือพันเส้นฟางออกจากกองข้าวในลานนวด

ข้อง
เครื่องมือขังปลาหรือสัตว์น้ำเล็ก ๆ มักผูกติดเอวหรือสะพายเวลาหาปลา

ขันกะหย่อง
ภาชนะคล้ายกระจาดแต่มีเชิงสูง สำหรับใส่ดอกไม้ธูปเทียนบูชาพระ พบใช้แถบอีสาน

ขันหมากเบ็ง
(ดู ขันกะหย่อง) เหตุที่เรียกขันหมากเบ็ง เข้าใจว่าเพี้ยนมาจากขันหมากเบ็ญจ์ หรือขันเครื่องห้า หรือขันห้า อันประกอบด้วย หมาก พลู ดอกไม้ ธูป เทียน

ข้าวตั้งรวง
ลักษณะที่ต้นข้าวสุกเหลืองอร่าม รอการเก็บเกี่ยว

ข้าวเบา
ข้าวที่เก็บเกี่ยวได้ในระยะเวลาประมาณ 3 เดือน เป็นข้าวที่เห็นผลได้เร็ว

ข้าวหนัก
ข้าวที่ต้องรอเก็บเกี่ยวได้ในระยะยาวนานกว่าจะเก็บเกี่ยวได้

ครกตำข้าว
เครื่องมือขนาดใหญ่ ลักษณะเป็นหลุม ขุดจากไม้ทั้งต้น สำหรับตำข้าวเปลือกแยกออกจากข้าวสารโดยใช้ไม้ตีหรือสากขนาดใหญ่
มักพบตามใต้ถุนเรือน ครัวไฟ บริเวณหนึ่งของครัวเรือน สำหรับใช้ประกอบอาหาร มักกรุฝาโปร่งเพื่อให้ควันไฟจากเตาถ่ายเทได้สะดวก

คราด
เครื่องมือซุยดิน ก่อนหว่านพืช มักใช้กับการทำนา

ควายนอก-ควายใน
ควายที่เทียมคู่กันด้านนอกและด้านใน ซึ่งหากมีการสับเปลี่ยนตำแหน่งการเทียมโดยเอาควายตัวนอกไปไว้ที่ตำแหน่งควายตัวใน
จะทำให้เกิดความวุ่นวาย และควายอาจไม่เดินตามปกติก็ได้ เนื่องจากถูกฝึกมาให้เดินรอบนอก

ควายเหล็ก
ชื่อเรียกรถไถเหล็ก ทำหน้าที่แทนควายหรือวัว แต่ให้ผลิตผลได้รวดเร็วกว่า

คันฉาย
(ดูขอฉาย)

คันไถ
ส่วนประกอบส่วนหนึ่งของไถ อันเป็นเครื่องมือทำนาชนิดหนึ่ง ส่วนประกอบอื่น มีอาทิ หางยาม หัวหมู่ ผาล เป็นต้น

คุตีข้าว
เครื่องมือแยกเมล็ดข้าวเปลือกออกจากรวง โดยใช้การจับรวงข้าวฟาดที่คุ ซึ่งมีขนาดใหญ่และเมล็ดข้าวจะตกลงไปในคุโดยปริยายเป็นลักษณะการตีข้าวที่เคลื่อนย้ายเครื่องมือไปตามที่ต่าง ๆ ได้

เคียว
เครื่องมือตัดรวงข้าวออกจากต้นข้าว เมื่อข้าวสุกเหลืองแล้ว มีขนาดเล็กใหญ่ตามท้องถิ่น

เคียวเขมร
เคียวชนิดหนึ่งซึ่งใช้ในหมู่ชาวไทยเชื้อสายเขมร มีด้ามยาว อ่อนโค้ง เครื่องมือกักขังปลา สำหรับเลี้ยงปลาหรือสัตว์น้ำให้มีชีวิต ก่อนนำไปประกอบอาหารหรือขาย

เครื่องมือจับปลาซึ่งจับได้ทันที
เครื่องมือจับปลาที่ไม่ต้องรอเวลา แต่จะจับได้ทันที เช่น สุ่ม ตะแกรง

เครื่องมือจับปลาซึ่งต้องรอคอย
เครื่องมือจับปลาที่ต้องวางเครื่องมือดักไว้ เช่น ลอบ อีจู้ เป็นต้น

เครื่องหีบอ้อย
เครื่องมือรีดน้ำออกจากลำอ้อย ทำด้วยไม้โดยอาศัยอาการขบของฟันเฟื่อง

เครื่องอัดผ้า
เครื่องมือทำให้ผ้าเรียบโดยพับผ้าให้เรียบ ใช้น้ำหนักเหล็กกดทับทิ้งไว้

แคร่อยู่ไฟ
เตียงพักของผู้หญิงหลังคลอด โดยวางกระบะไฟไว้ข้างใต้ ใช้หลักว่าให้ความร้อนย่างมดลูกให้แห้ง

งาแซง
เครื่องมือสำหรับปิดปากเครื่องจับปลาหรือกักปลาก มีลักษณะคล้ายคล้ายกรวย เป็นต้น

จวัก
(ดู จ่า)

จ่า
เครื่องมือตักอาหาร มักทำจากกะลามะพร้าว มีด้ามยาว

จับปลา
การ วิถีการดำเนินชีวิตที่สำคัญของคนไทยตามชนบท

ช่องน้ำไหล
เป็นที่ที่ปลาหรือสัตว์น้ำไหลมา มักพบเครื่องมือจับปลาวางตามช่องทางน้ำไหลนี้

ชุด
เครื่องมือดักปลา ดักด้วยหวาย ลักษณะเป็นถุงขนาดลำตัวปลา โดยสังเกตวิสัยปลาที่จะไม่ถอย หลังและสร้างชุดให้มีขนาดใหญ่กว่าตัวปลาเล็กน้อย

เชี่ยนหมาก
ภาชนะบรรจุเครื่องกินหมาก อันประกอบด้วยหมากพลู ปูนแดง ยาฉุน ยาจืด ขี้ผึ้ง สีเสียด เป็นต้น

ซ่อน
เครื่องมือดักปลา ลักษณะและวิธีใช้คล้ายกับชุด คือขุดทางน้ำไหลแล้ววางเครื่องมือที่ปากช่องนั้น

ไซ
เครื่องมือดักปลา รูปร่างยาว ที่คอมีช่องดักปลาปิดด้วยงาแซง

ด้วงดักหนู
เครื่องมือดักสัตว์บก เช่น หนู แย้

ตะเกียง
เครื่องใช้ที่ให้แสงสว่าง อาจวางตั้งหรือแขวนอยู่กับที่หรือถือหิ้วไป มีหลายลักษณะ เช่น ตะเกียงรั้ว

ตะแกรง
เครื่องมือจับปลาตามหนอง บึง มีความลึกมาก พบใช้ทางภาคอีสาน

ตะแกรงดักปลาไหล
เครื่องมือดักปลาไหล โดยใช้กร่ำเป็นพาหนะ

ตะแกรงเลี้ยงไหม
ตะแกรงตื้นขนาดใหญ่ มีช่องโปร่งกั้นแบ่งไปตามพื้นที่วงกลม สำหรับเลี้ยงตัวดักแด้

ตะข้อง
(ดู ข้อง)

ตะคัน
เครื่องมือให้แสงสว่าง ลักษณะเป็นจานก้นลึก ใส่น้ำมันแล้วเอาด้ายจุ่มในน้ำมันให้ปลายข้างหนึ่งพาดขอบปากจาน สำหรับจุดไฟ

ตะหวัก
(ดู จ่า)

ติหมา
(ดู หมา)

ตุ้ม
เครื่องมือดักปลา โดยวางเหยื่อล่อไว้ภายใน มีขนาดใหญ่ เล็ก ตามสภาพน้ำลึก ตื้น

ตุ้มลาน
เครื่องมือดักปลา วางติดพื้นท้องน้ำ เหมาะกับร้ำนิ่งที่ค่อนข้างรก

เตา
การสุมพืชผักที่มีรากยาว ๆ ให้หนาใหนหนองน้ำ แล้วปักไม้ยึกไว้มิให้ลอยเพื่อพรางให้ปลาเข้ามาอาศัยแล้วจึงใช้ตะแกรงจับ

เตาเชิงกราน
เตาชนิดหนึ่ง มีภาชนะคล้ายถาดติดตัวเตา ยื่นออกมาสำหรับวางฟืน

เตาสามเส้า
เตาในยุคเริ่มแรก เป็นความคิดง่ายๆ โดยนำหิน 3 ก้อนวางห่างกันพอเหมาะบนกระบะดินอัดแน่น

เตาอั้งโล่
เตาของชาวจีน ที่พัฒนาขึ้น มีรังผึ้ง และมีช่องระบายอากาศ

ตีขลุบ
ปรับพื้นที่นาดำให้ราบเสมอกัน เพื่อสะดวกแก่การปักดำ โดยใช้ลูกกลิ้งหรือลูกขลุบ

ตีเหล็ก
การแปรรูปโลหะสำคัญเป็นรูปต่าง ๆ ตามลักษณะใช้สอย เช่น เป็นมีด เป็นล้อเกวียน จัดเป็นวิทยาการสำคัญช่วงหนึ่งของสังคมมนุษย์ ที่ทำให้เครื่องใช้มีความคงทนแข็งแรงมากกว่าสร้างจากไม้เนื้อแข็งหรือไม้ไผ่ และแสดงให้เห็นถึงการคิดต่อกับสังคมห่างไกลออกไป เนื่องจากแหล่งแร่ เหล็กมิได้มีกระจายอยู่ทั่วไป

ถัง
ภาชนะทำจากไม้เนื้อแข็ง รัดช่วงตัวด้วยโลหะเส้นแบน ใช้สำหรับตวงข้าวเป็นมาตรวัดโบราณ

ไถกลบ
ไถโดยให้ดินกลบทับบนเมล็ดพันธ์ข้าวที่หว่างลงไป หลังจากไถแปรแล้ว

ไถดะ
ไถลุยไปเป็นทางยาวตามแนวคันนา เป็นการไถเอาวัชพืชหรือพลิกหน้าดิน

ไถแปร
ไถขวางแนวรอยไถดะ เป็นการซุยดินหรือพลิกกน้าดินให้ถ้วนทั่วขึ้น

ทอผ้า
กิจกรรมสำคัญของผู้หญิงในสังคมที่มีการพึ่งพาตนเอง เพราะผ้าจัดเป็นปัจจัยสี่ของมนุษย์

ทาด-ทูน
สัญญาณเสียงจากผู้บังคับวัวหรือควายให้เลี้ยว พร้อมกระตุกเชือกที่ร้อยจมูกโยงมาผูกกับปลายง้อนของคันไถ เสียง “ทาด” หมายถึงการเลี้ยวซ้าย ส่วน “ทูน” คือการเลี้ยวขวา

ที่ตักขนมจีน
ภาชนะสานคล้ายจ่า สำหรับช้อนเส้นขนมจีนที่ต้มสุกแล้วขึ้นมาจับ

นาดข้าว
การแยกเมล็ดข้าวเปลือกออกจากรวง โดยใช้การย่ำนวดของวัวที่ผูกเป็นพวงการ

นาดำ
การทำนาในพื้นที่ที่มีน้ำอุดมสมบูรณ์ ต้องเพาะกล้าไว้ต่างหากแล้วจึงปักดำ เป็นแถวๆ ลงบนผืนนาที่ขังน้ำไว้แล้ว ต้นข้าวของนาดำจึงปักเรียงเป็นระเบียบกว่านาหว่าน

น้ำหว่าน
การทำนาในพื้นที่แล้งน้ำ โดยใช้อาการหว่านเมล็ดข้าวเปลือก ข้าวนาหว่านจึงงอกอย่างไม่เป็นระเบียบสม่ำเสมอเหมือนข้าวนาดำ

น้ำเต้า
ไม้ผลชนิดหนึ่ง นำมาคว้านเอาเนื้อในออกให้หมด ตากให้แห้ง รูปทรงของภาชนะเหมาะกับการบรรจุน้ำ และคอคอดก็เหมาะกับการเก็บรักษาน้ำ

ไน
เครื่องมือปั่นด้าย มิให้พันกันยุ่ง

ปี่กาน้า
เครื่องดนตรีชนิดหนึ่งใช้เป่า ปากบาน มีรูเก็บกักเสียง

เปีย
เครื่องมือพันเส้นด้ายมิให้ยุ่ง โดยใช้เป็นแกนพัน ก่อนนำมาจับเป็นเข็ด

แปลงเพาะกล้า
พื้นที่นาซึ่งมักอยู่ไม่ไกลบ้าน และมีขนาดไม่ใหญ่นัก สำหรับเป็นแปลงเพาะต้นข้าวให้เจริญงอกงาม เพื่อนำไปปักดำในผืนนาใหญ่ต่อไป แปลงเพาะกล้านี้ต้องดูแลรักษาและทะนุถนอมอย่างดี

โปงลาง
เครื่องดนตรีประเภทตี ทางภาคอีสาน ลักษณะเป็นท่อนไม้ วางเรียงกันขึ้นไปผู้ตีจะนั่งตีไล่ลูกเสียงขึ้นลง มีลาย (ทำนอง) ต่าง ๆ

ผาล
เครื่องมือเหล็ก สำหรับเจาะพลิกหน้าดินโดยติดกับหัวหมูของคันไถ

ฝักมีด
เครื่องจักสาน สำหรับเก็บมีดยาว เพื่อป้องกันอันตรายจากคมมีด หรือสะดวกต่อการเหน็บติดตัวหรือสะพายกับตัว เมื่อต้องออกนอกบ้าน

ฝาสำหรวด
ฝาเรือนที่มีลักษณะโปร่ง เป็นลักษณะฝาขัดแตะที่ใช้ลำไผ่เป็นส่วนมากมักกรุฝาสำหรวดตรงบริเวณที่เป็นครัวไฟ เพื่อให้ควันไฟ ระบายออกได้สะดวก

เฝือก
เครื่องมือกั้นปลา สานด้วยไผ่ ลักษณะเป็นแผง โดยวางขวางลำน้ำ หรืออาจใช้ล้อมรุกสัตว์น้ำเป็นช่วง ๆ ไป เพื่อสะดวกแก่การจับ แต่โดยมากมักใช้กับลอบต่าง ๆ คือวางขวางลำน้ำเป็นปีก กั้นสัตว์น้ำให้เข้าสู่ลอบง่ายเข้า

พลั่วสาดข้าว
เครื่องมือตักข้าวเปลือก ลักษณะคล้ายช้อน แต่มีขนาดใหญ่และด้ามยาว

พลาสติก
วัสดุสังเคราะห์ที่เข้ามามีบทบาทแทนวัสดุจากธรรมชาติมากขึ้น จนทำให้เกิดมลภาวะ เพราะพลาสติกเสื่อมสลายได้ยากกว่าวัตถุทางธรรมชาติ

พวงสาว
ใช้สาวเส้นไหมขึ้นจากรังดักแด้ที่ต้มในหม้อ โดยตัวล่างของพวงสาวจะจับกันของปากหม้อ

พ้อม
ภาชนะสาน ยาช่องด้วยขี้วัว สำหรับเก็บรักษาเมล็ดข้าวเปลือก

ไม้คาน
ไม้ยาวสำหรับสอดหูกระบุง ตะกร้า หรือสาแหรก แล้ววางบนบ่า หาบไปตามที่ต่าง ๆ

ไม้รองตีข้าว
ไม้เนื้อแข็งสำหรับรองรับการฟาดรวงข้าว แยกเมล็ดข้าวเปลือกออกจากต้นข้าว

ไม้หนีบข้าว
ไม้ 2 ท่อน ผูกปลายด้วยเชือกหนัง สำหรับจับยึดฟ่อนรวงข้าวให้แน่น สะดวกแก่การจับฟาด

ระหัดวิดน้ำ
เครื่องมือวิดน้ำเข้านา หรือวิดออกจากนาหรือหนองน้ำ เพื่อสะดวกแก่การหาปลา

เรือนเครื่องผูก
เรือนชั่วคราวหรือเรือนของผู้มีฐานะไม่ร่ำรวย ใช้หวายผูกมัดยึดส่วนต่าง ๆ ของเรือน จึงเรียกเรือนเครื่องผูก

เรือนเครื่องสับ
เรือนถาวร เข้าของมักมีฐานะดี เป็นเรือนไม้เนื้อแข็ง ยึดติดกันได้จากการตอกลิ่มหรือ ทำตะปูไม้

ลอบ
เครื่องมือดักปลา ภายในลอบมีงาแซง 2 ชั้น คือส่วนกลางและส่วนหัว มักใช้ประกอบ กับเฝือก

ลันดักปลาไหล
เครื่องมือทำจากกระบอกไม้ สำหรับวางนอนกับพื้นดินรก ๆ หรือพื้นน้ำมีเหยื่อล่ออยู่ภายใน ดักได้ปลาไหล

ลานบ้าน
บริเวณที่ว่างรอบ ๆบ้าน ซึ่งมักใช้เป็นที่ประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ประจำวัน เช่น ทอผ้า จักสาน ตำข้าว เป็นต้น

ลือซง
ครกตำข้าวของชาวไทยมุสลิมทางภาคใต้

สมุก
ภาชนะสำหรับใส่ของ มีฝาปิด มีขนาดเล็กใหญ่

สลากเล้า
กระเป๋าสาน สำหรับใส่เสื้อผ้า สิ่งของเครื่องใช้ มีฝาปิด มีหู พบใช้ทางภาคเหนือ

สาบ
เครื่องมือดักปลาที่ปากมีงาแซง เรียกสาบ เพราะวัสดุที่นำมาสานเป็นต้นสาบ

สาบ
ต้นพืช มีขนาดเท่าไม้ไผ่ ไม่มีปล้อง พบมากแถบเชิงเขาพนมดงรัก และเขาพนมรุ้งมีความงามและทนทานไม่แพ้ต้นไผ่

สีข้าว
เครื่องแยกเมล็ดข้าสารออกจากเปลือก โดยใช้หลักการขบของฟันเฟือง ทำให้เปลือกหุ้มแตกออก

สุ่มปลา
เครื่องมือจับปลา ปากล่างกว้าง สำหรับครอบหรือสุ่มปลา ปากบนเป็นวงกลมขนาดย่อม สำหรับเอามือล้วงลงไปหยิบปลา ซึ่งหากปลาติดสุ่มจะว่ายเสียงดังกุกกักอยู่ภายในสุ่มทำให้รู้ว่าปลาติด

เสาเกียด
หรือหลักเกียด ปักกลางลานนวดข้าวใช้ผูกวัวพวง ย่ำนวดข้าวในลาน มักตกแต่งเสาเกียดอย่างสวยงามด้วยรวงข้าว

หมาหรือติหมา
เป็นภาษาท้องถิ่นแถบชายแดนภาคใต้ หมายถึงภาชนะตักน้ำ ทำจากวัสดุในท้องถิ่น เช่น ใบจาก ใบหลาวโอน เป็นต้น

หินบด
เครื่องบดให้ละเอียด ส่วนมากใช้บดเครื่องสมุนไพร เครื่องเทศ โดยใช้อาการเบียดบดของหินจากแรงมือ

อิ้ว
เครื่องมือแยกฝ้ายออกจากเมล็ด

อีจู้
เครื่อมือดักปลา โดยใส่เหยื่อล่อไว้ภายใน

อีเป็ด
(ดูข้องเป็ด)

แอก-อ้อม
เครื่องมือเทียมวัวหรือควาย เป็นไม้วางขวางคอวัว

แอบข้าว
ภาชนะสานสำหรับเก็บข้าวเหนียวนึ่ง มีลักษณะแบนรี มีฝาครอบ ตัวฝาสูงเท่าตัวภาชนะ

สุดยอดผัก ผลไม้เพื่อสุขภาพ

29 สุดยอดอาหาร คงความอ่อนเยาว์







1. บลูเบอร์รี่ : จากผลการวิจัยพบว่า แอนโทไซยานิน (anthocyanin) สารเม็ดสีในบลูเบอร์รี่ ช่วยในการมองเห็น ขอแนะนำให้คุณลอง ปั่นบลูเบอร์รี่รวมกับนมหรือโยเกิร์ตดู

2. พริกหยวก : ทั้งพริกแดง พริกเขียว และพริกเหลือง ต่างมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย น้ำฉ่ำ ๆ จากพริกหยวกยังจะช่วยให้สุขภาพเล็บแข็งแรง ลองนำพริกไปทำซัลซ่า โดยผสมเข้ากับมะเขือเทศ กระเทียม พริกแดง แตงกว่า น้ำมันมะกอก และน้ำมะนาวดูสิ นอกจากจะได้ประโยชน์มหาศาลจากเหล่าสุดยอดอาหารแล้ว ยังได้อร่อยกับเมนูเด็ดจากฝีมือของคุณเองอีก


3. กะหล่ำปลี : เห็นเขียว ๆ ม่วง ๆ อย่างนี้รู้มั้ยว่ากะหล่ำปลีนั้นอุดมไปด้วยวิตามินเอ, ซีและเบตาแคโรทีนที่จะช่วยในเรื่องของผิวพรรณ เพียงหั่นกะหล่ำปลีบาง ๆ แล้วนำลงไปผัดกับขิงและกระเทียม เพียงเท่านี้ก็ได้อาหารมื้อค่ำสำหรับตัวคุณเองแล้ว

4. วอลนัท : ทองแดงในวอลนัทช่วยคงสภาพสีผมของคุณไม่ให้เปลี่ยนสีก่อนวัยอันควร ลองโรยวอลนัทลงบนสลัดหรือโยเกิร์ตก็ไม่เลวนะ

5. แอปริคอท : สารเบตาแคโรทีนในแอปริคอทช่วยชะลอการเสื่อมถอยของเลนส์ตา ช่วยในการมองเห็นได้ดี ใส่แอปริคอทลงไปในสตูว์ไก่ ผสมกับขิงและอบเชยให้ได้กลิ่นอายแบบโมร็อคโค

6. อะโวคาโด : การรับประทานอะโวคาโดช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน และปกป้องผิวจากอันตรายที่เกิดจากแสงแดด เนื่องจากอะโวคาโดอุดมไปด้วยวิตามินอี บดอะโวคาโดโรยหน้าโอ๊ตเค้กเป็นของทานเล่นดูก็ได้

7. สตรอเบอร์รี่ : วิตามินซีและสารบางอย่างในสตรอเบอร์รี่ ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของผนังเส้นเลือดผลไม้สีแดง สดทรงเสน่ห์แบบนี้ เพียงแช่เย็นไว้จิ้มกินกับเกลือตอนนั่งดูทีวีก็เพลินดีไม่น้อย

8. เต้าหู้ : หยุดยั้งผิวที่ซีดและแห้งโดยการรับประทานอาหารอย่าง เต้าหู้ เพราะในเต้าหู้มีสารที่จะช่วยคืนสภาพผิวและป้องกันรอยเหี่ยวย่น ลองผัดรวมกับผักกรอบ ๆ หรือทำเป็นต้มจืดเอาไว้ทานเป็นมื้อเย็นนอกจากจะช่วยคืนสภาพผิวแล้ว ยังช่วยควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี

9. ข้าวโอ๊ต : เต็มไปด้วยเส้นใยที่ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ทั้งยังช่วยลดอาการตึงเครียด จึงทำให้รอยเหี่ยวย่นน้อยลง เพียงโรยข้าวโอ๊ตลงบนมูสลี่ หรือนมอุ่น ๆ ใส่น้ำตาลลงไปเล็กน้อยแค่นี้ก็ทานได้แล้ว กระชุ่มกระชวยเหมือนแรก

10. กระเทียม : สมุนไพรกลิ่นแรงอย่างกระเทียมมีคุณสมบัติป้องกันแบคทีเรีย ล้างพิษ และป้องกันไวรัสจากโรคภัยไข้เจ็บ ตั้งแต่ไข้หวัดไปจนถึงมะเร็ง อาหารไทยส่วนใหญ่มีกระเทียมเป็นส่วนประกอบอยู่แล้ว

11. แครนเบอร์รี่ : ผลไม้มหัศจรรย์ช่วยต้านการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ จากงานวิจัยล่าสุดพบว่ายังช่วยป้องกันโรคเหงือก และแผลในช่องท้องได้ชะงัดอีกด้วย อาจจะทำเป็นแยมไว้รับประทานกับขนมปัง หรือทำเป็นซอสแครนเบอร์รี่ไว้ทาไก่หรือ เนื้อย่างก็มีประโยชน์ไม่แพ้กัน

12.ลินสีด : ช่วยลดอาการเจ็บตามข้อต่อ เพราะอุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ที่ร่างกายใช้ในการสร้างฮอร์โมนที่มีคุณสมบัติป้องกันอาการอักเสบ ลองเติมลงในน้ำปั่นหรือโรยหน้าสลัดดูก็ได้นะ

13. กีวี : วิตามินซีและสารอาหารบางอย่างในกีวีช่วยในการไหลเวียนของออกซิเจน ลดปัญหาเกี่ยวกับระบบหายใจ เช่น โรคหืด หอบ หั่นกีวีเป็นลูกเต๋าเสียบไม้กับมะม่วงหรือกล้วย ทาด้วยน้ำผึ้ง แล้วนำไปย่าง อาจจะได้รสชาติแปลกใหม่ที่น่าลิ้มลอง

14. ลูกพลัม : อุดมไปด้วยสารอาหารที่ช่วยป้องกันการถูกทำลายของไขมัน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในเซลล์สมอง นำลูกพลัมไปเคี่ยวกับน้ำส้ม และโรยลงไปบนมูสลี่ หรือจะกินเล่น เป็นขนมขบเคี้ยวก็ไม่มีใครว่า

15. กล้วย : เป็นแหล่งรวมของโพแทสเซียม นอกจากกล้วยจะช่วยในเรื่องของระบบการย่อยอาหารแล้ว ยังช่วยลดอาการท้องผูก แค่ผสมเข้ากับนม น้ำผึ้ง และอัลมอนด์ ก็จะได้อาหารเช้าที่แสนอร่อย

16. ส้ม : การรับประทานส้มทั้งผล แทนการดื่มน้ำส้มจะช่วยให้ได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ มิหนำซ้ำวิตามินซีในส้มยังช่วยป้องกันและเยียวยาโรคหวัด นอกจากนี้กากของส้มยังช่วยในเรื่องของการขับถ่ายด้วย

17. ข้าวกล้อง : ฮอตฮิต อินเทรนด์กันอยู่พักใหญ่ เพราะอุดมไปด้วยแร่แมงกานีส ที่จะช่วยให้พลังงานกับร่างกายโดยการให้โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต และยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกด้วย ใครที่ไม่ชอบสีจัดจ้านของข้าวกล้องก็สามารถหุงข้าวกล้องรวมกับข้าวสวยได้

18. มะเขือม่วง : เปลือกของมะเขือม่วงอุดมไปด้วยนาซูนิน (nasunin) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยปกป้องสมองของคุณจากการถูกทำลาย เพื่อคงความฉลาดหลักแหลมของคุณไว้ ลองนำมะเขือม่วงไปทำแกง หรือรับประทานกับข้าวกล้องก็อร่อยไม่เบา

19. ลูกพรุน : โพแทสเซียมในลูกพรุน ช่วยลดคอเรสเตอรอลในเลือดและลดระดับความดันเลือด ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เป็นต้นเหตุของการเกิดโรคหัวใจ เสิร์ฟคู่กับโยเกิร์ตหรือกินเล่นเป็นของว่างก็ดี

20. คะน้า : ช่วยให้ตับของคุณผลิตเอ็นไซม์ในการต่อต้านมะเร็ง เมื่อคุณเคี้ยวคะน้า จากการวิจัยพบว่า สามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมได้ ฮืม...ม เลือกผัดคะน้าปลาเค็ม เป็นเมนูมื้อกลางวันดีกว่า (อ้อ อย่าลืมทุบกระเทียมลงไปด้วยนะ)

21. ผักโขม : คุณจะได้รับแคลเซียมจากผักโขม ในขณะเดียวกัน ก็มีแมกนีเซียมที่จะช่วยให้ร่างกายของคุณดูดซึมแคลเซียมได้ดี การรับประทานใบอ่อนของผักโขมในสลัด จะช่วยให้ป้องกันโรคกระดูกเปราะและหักง่ายเนื่องจากขาดแคลเซียม

22. ราสเบอร์รี่ : จากผลการวิจัยพบว่า สารแอนตี้ออกซิเดนท์ในราสเบอร์รี่สามารถยับยั้งการเกิด เนื้อร้ายได้ ลองนำราสเบอร์รี่ไปราดด้วยช็อกโกแลตเหลวแล้วไปแช่เย็นดูสิ

23. ถั่วงอก : สารประกอบ ที่พบในถั่วงอก สามารถช่วยลดระดับไขมันในเส้นเลือด นอกจากนี้ถั่วงอกยังประกอบด้วยสารอาหารในปริมาณสูง ซึ่งจะช่วยเรื่องโรคเล็ก ๆ น้อย ๆ ของสตรีในวัยหมดประจำเดือนถั่วงอกผัดกับเต้าหู้ ทานกับข้าวสวยร้อน ๆ ก็อร่อยไม่เบา

24. บล็อคโคลี่ : การรับประทานบล็อคโคลี่เป็นประจำ จะช่วยลดอัตราเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจได้ถึง 20% และยังมีวิตามินซีที่ช่วยป้องกันการปวดกล้ามเนื้อ ปวดตามข้อ และโรคไขข้ออักเสบได้ด้วย ลวกใส่ในสลัด หรือผัดกับกุ้งสดก็ไม่เลว

25. บีทรูท : เนื้อของบีทรูทอุดมไปด้วยเบต้าไซยานิน ซึ่งเป็นสารต่อต้านมะเร็งรับประทานโดยการนำไปตุ๋นหรือย่าง

26. องุ่นแดง : จะช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดเลือดจับตัวเป็นก้อน และดักจับไขมันในเลือดที่จะเป็นอันตรายต่อเส้นเลือดแดงของคุณ ใส่องุ่นแดงลงในสลัดหรือดื่มไวน์แดงสักแก้วระหว่างมื้อค่ำ

27. ปลาที่มีไขมัน : แซลมอน หรือเนื้อปลาชนิดอื่นๆ ที่มีไขมันปนอยู่บ้างนั้น สามารถช่วยปกป้องคุณจากโรคภัยไข้เจ็บมากมาย อีกทั้งโปรตีนในเนื้อปลายังช่วยในเรื่องของสมอง ว่ากันว่าให้เด็ก ๆ กินปลาแล้วจะฉลาด ปลานึ่ง ปลาย่างราดซอสอร่อย ๆ ล้วนเป็นทางเลือกที่ดี

28. มะเขือเทศ : สารไลโคพีนี (lycopene) ในมะเขือเทศจะช่วยป้องกันการเกิด มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่ ที่สำคัญช่วยให้ผิวสวยอย่าบอกใครเลยเชียวล่ะเลือกเอาเลยว่าคุณอยากจะใส่ มะเขือเทศลงในอาหารอะไรบ้าง

29. หัวหอม : หัวหอมที่มีกลิ่นไม่หอมเหมือนชื่อนี้ จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดทั้งยังช่วย ในการรักษาและป้องกันโรคเบาหวาน ซอยเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็ก ๆ ใส่ในไข่เจียว หรือซอยใส่อาหารประเภทยำช่วยเพิ่มรสชาติได้ดีทีเดียว

เพียงแค่เลือกรับประทานอาหารที่ว่ามาทั้งหมดนี้ เพียงอย่างน้อย 1 อย่าง เป็นประจำทุกวัน ก็จะช่วยให้เส้นผมดำขลับ เงางาม ผิวพรรณผุดผ่องและดวงตาเป็นประกาย

วิธีลดโลกร้อน

การลดภาวะโลกร้อนเป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องช่วยกันทำ เราทุกคนก็ต่างมีส่วนที่ทำให้เกิดปัญหานี้ขึ้น เพราะเพียงแค่เราหายใจอยู่เฉยๆก็ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาแล้ว ยังไม่รวมถึงกิจกรรมต่างๆมากมายที่เราทำอยู่ทุกๆวัน ถึงเวลาที่เราต้องเลิกคิดว่าภาวะโลกร้อนไม่ใช่ธุระของเรา แล้วหันมาร่วมมือกัน..มาเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาโลกร้อนกันเถอะ

ถ้าท่านคิดว่าการลดภาวะโลกร้อนนั้นมันทำได้ยาก หรือคิดว่าท่านคนเดียวช่วยโลกไม่ได้ หรือว่าจะทำตอนนี้มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นแล้ว ท่านกำลังคิดผิด!! ทุกอย่างที่เราทำจะส่งผลดีต่อโลก และมันยังมีเวลาอยู่ ถ้าไม่เริ่มที่ตัวเราก่อนก็ไม่รู้จะให้ไปเริ่มจากตรงไหน แค่เราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างของเราทำอยู่ในวันๆหนึ่ง ก็สามารถช่วยลดภาวะโลกร้อนได้แล้ว ผมจะยกตัวอย่างให้ดูซัก 10 ข้อ ผมเชื่อว่ามันใกล้ตัวทุกท่านมาก และสามารถลงมือทำได้เลยด้วยซ้ำ

1. ปรับ Desktop Wallpaper ของท่านให้เป็นสำเข้ม ยิ่งเป็นสีดำเลยยิ่งดี เพราะว่ามันจะประหยัดไฟมากกว่า รวมไปถึง Screen Saver ก็ให้ตั้ง Blank ไว้ มันจะเป็นหน้าจอดำสนิท ปิดคอมพิวเตอร์เมื่อไม่ได้ใช้งาน เช่น ตอนพักเที่ยง และตอนกลับบ้าน

2. พกผ้าเช็ดหน้า แทนที่จะใช้กระดาษทิชชู สมัยนี้มีกระดาษทิชชูห่อสวยๆพกง่ายๆออกมา หลายคนใช้มันแทนผ้าเช็ดหน้า เพราะว่ามันสะดวกและห่อมันก็น่ารักด้วย แต่กระดาษทิชชูผลิตมาจากต้นไม้ ยิ่งใช้มากก็ยิ่งต้องตัดมาก ถ้าไม่จำเป็นก็ให้ใช้ผ้าเช็ดหน้าดีกว่าครับ เก็บต้นไม้ไว้เป็นปอดให้กับโลกเราบ้างเถอะนะ

3. การชาร์ตแบตมือถือ การชาร์ตแบตมือถือของคนทั่วๆไปเสียพลังงานไปโดยเปล่าประโยชน์ถึง 95% เพราะว่ามักจะเสียบสายค้างไว้ทั้งๆที่แบตเต็มแล้ว ท่านรู้ไหมว่าถึงแบตจะเต็มแล้วแต่ว่าถ้าไม่ถอดออกมันก็จะยังกินไฟอยู่ ฉะนั้นเวลาแบตเต็มแล้วก็ให้ถอดสายออก แต่ถ้ายังเสียบหม้อแปลงกับเต้าเสียบค้างไว้มันก็ยังกินไฟอยู่ดี เพราะฉะนั้นก็ให้ถอดออกให้หมด

4. ประหยัดน้ำ อย่าใช้น้ำแบบสิ้นเปลือง ถ้ามีโอกาสได้เปลี่ยนก๊อกที่บ้าน ก็ให้ใช้ก๊อกน้ำแบบเพิ่มฟองอากาศ น้ำที่ไหลออกมาจะมีฟองอากาศออกมาด้วยทำให้ดูเหมือนมีน้ำเยอะ แต่จะประหยัดกว่าก๊อกธรรมดาถึงครึ่งหนึ่ง ถ้านึกไม่ออกให้ดูห้องน้ำตามห้าง น้ำที่ไหลออกมาจะเป็นแบบนั้น และเวลาใช้น้ำที่อื่นที่ไม่ใช่บ้านเราก็ควรจะประหยัดด้วย ไม่ใช่คิดว่าของฟรี หรือเวลาไปพักตามโรงแรมก็อย่าคิดว่าใช้ให้คุ้ม เพราะว่าทำแบบนี้แหละโลกถึงร้อน

5. ประหยัดไฟ ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้และถอดปลั๊กด้วย รวมไปถึงหลอดไฟด้วย ถ้ามีโอกาสก็เปลี่ยนหลอดไส้เป็นหลอดประหยัดไฟ CFL ซะ ที่มันเป็นเกลียวๆ ถึงหลอดพวกนี้จะแพงกว่า แต่ก็ประหยัดไฟกว่ามาก แถมอายุการใช้งานก็ยาวกว่าเยอะ ซึ่งในระยะยาวก็จะคุ้มกว่าแน่นอน

6. ลดใช้ถุงพลาสติก ถุงพลาสติกทำให้เราสะดวกขึ้นก็จริง แต่มันเป็นภัยต่อโลกอย่างมากมาย กว่าถุงที่เราใช้จะย่อยสลายไป ตัวเรานั้นย่อยสลายก่อนมันไปนานแล้ว เพราะฉะนั้นเวลาที่ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องใช้ แต่ถ้าต้องใช้จริงๆก็ให้เก็บไว้เพื่อนำไปใช้ครั้งต่อไปได้อีก เวลาจ่ายตลาดก็ให้ใช้ถุงผ้าแทน ถุงผ้าสวยๆก็มีออกมาขายกันเยอะแยะ

7. ลดอาหารแช่แข็ง อาหารแช่แข็งตอนนี้กำลังมีมากขึ้นเรื่อยๆ และก็เห็นมีคนนิยมบริโภคมากขึ้นเหมือนกัน แต่ท่านรู้ไหมว่าขั้นตอนการผลิตนั้นทำให้สิ้นเปลืองพลังงานอย่างมาก เพราะว่ากล่องที่ใส่ก็เป็นพลาสติก ขั้นตอนในการขนส่งก็ต้องเก็บไว้ในที่เย็นตลอดเวลา รวมไปถึงตอนที่อยู่ในร้านด้วย แม้กระทั่งตอนจะกินยังต้องใช้พลังงานในการอุ่นอีก เพราะฉะนั้นถ้าไม่จำเป็นก็อย่ากินเลยครับ มันสิ้นเปลืองพลังงาน กินของสดอร่อยกว่าอีก

8. ใช้จักรยาน เวลาที่ท่านไปทำธุระใกล้ๆบ้าน อาจจะไปซื้อของ จ่ายตลาด นอกจากจะประหยัดน้ำมันในยุคที่น้ำมันแพงแล้ว ยังช่วยให้ท่านได้ออกกำลังกาย มีสุขภาพที่ดีอีกด้วย ไม่ต้องไปเสียเงินเข้าฟิตเนสแพงๆ

9. ลดการ Shopping หลายคนนั้นการ Shopping เป็นอะไรที่มีความสุขเหลือเกิน แต่ก็ขอให้ลดการซื้อแบบสิ้นเปลืองลงบ้าง บางทีก็ซื้อๆไปอย่างนั้นแหละ แต่ก็ได้ใส่แค่ครั้งสองครั้ง บางชิ้นอาจไม่ได้ใส่ด้วยซ้ำ แต่อยากซื้อ..อะไรที่คิดว่าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องซื้อหรอกครับ เอาแค่อันที่เราจะใส่จริงๆ เพราะว่ามันต้องใช้พลังงานมากมายในอุตสาหกรรมพวกนี้

10. ปลูกต้นไม้ ผมว่ามนุษย์ทุกคนชอบธรรมชาติ เวลาที่เราได้เห็นสถานที่ที่มีธรรมชาติงดงาม ไม่ว่าจะเป็นป่าไม่ที่เขียวชอุ่ม น้ำใสๆ ชายหาดที่ขาวสะอาด เราจะรู้สึกสบายใจและชอบมัน แต่ว่าพวกเราก็ไม่ได้ช่วยกันรักษามัน เพราะฉะนั้นถ้ามีเวลาก็ให้ช่วยกันปลูกต้นไม้ อาจจะเป็นที่สวนหน้าบ้านได้ หรือมีเนื้อที่ตรงไหนก็ปลูกตรงนั้น ใส่กระถางไว้ก็ได้ นอกจากจะทำให้บ้านดูสวยขึ้นแล้ว ยังจะช่วยลดก๊าซพิษในอากาศได้อีกด้วย

ผมเชื่อว่า 10 วิธีที่ผมยกตัวอย่างมานี้ ต้องมีมากกว่าหนึ่งข้อที่คุณสามารถทำได้ คุณไม่จำเป็นต้องทำทุกข้อ แต่ยิ่งทำมากก็ยิ่งดี แค่นี้คุณก็จะได้มีส่วนในการช่วยลดภาวะโลกร้อนแล้ว ส่วนจะทำมากแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบของแต่ละคน และสุดท้ายนี้อยากบอกทุกคนว่าในโลกนี้ไม่มีความสำเร็จไหนที่ยิ่งใหญ่จริงๆ มีแต่ความสำเร็จเล็กๆที่รวมกันขึ้นมา จนสามารถกลายเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้ เพราะฉะนั้นอย่านึกว่าสิ่งเล็กๆเหล่านี้ที่เราทำมันไม่มีความหมายนะครับ

วิธีคิดเลขเร็ว

>>>ลองมาดูตัวอย่างการบวกเลขแบบพ่อมดกันดีกว่า.. ว่าเค้าคำนวณกันยังไง มามะเราจะลองยกตัวอย่างการบวกเลขให้ดู<<<
- ตัวอย่างการบวกเลข 2 หลัก เช่น.... 95+38 = ? วิธีคิดในใจคือ แยกตัวเลขเป็น 2 กลุ่ม
คือ (90+30) และ (5+8) แล้วนำมารวมกัน ได้ 133
- ตัวอย่างการบวกเลข 3 หลัก เช่น.... 763+854=? วิธีคิดในใจคือ 800+700 =1,500
แล้วบวก 60+50 ได้ 1,610 แล้วนำไปบวกกับ 3+4 ที่เหลือ
ได้คำตอบของโจทย์นี้เท่ากับ 1,617

ส่วนวิธีลบ ชาครีย์บอกว่า น่าจะเป็นวิธีที่คนทั่วไปไม่รู้ เพราะปกติเราจะตัวเลขตั้งแล้วลบ
แต่วิธีของ ดร.เบนจามินคือ เปลี่ยนจากตัวเลขลบเป็นบวก (complement)
เช่น -23 มี complement เป็น 77

- ตัวอย่างคือ 138-68 ให้เปลี่ยนเป็น (138+32) – 100 จะคิดได้ง่ายกว่า
หรืออีกตัวอย่าง 857-192 = ? มีวิธีคิดง่ายๆ คือ เปลี่ยนเป็น 857-200 = 657
แล้วบวกด้วย 8 ที่ลบเกินไป จะได้คำตอบ 665

สำหรับวิธีคูณก็คิดจากซ้ายไปขวาเช่นกัน
อาทิ 13x14=? ให้แยกเป็น (13x10)+(13x4) = 130+52 = 182
หรือ 68x49 ให้คิดเป็น 68x50 = 3,400 แล้วลบ 68 ที่คูณเกินมา
หรือ 84x21 = ? ให้คิดเป็น 84x20=1,680 แล้วบวกด้วย 84 ที่ยังคูณไม่ครบ

มาถึงเลขยกกำลัง ชาครีย์ได้ยกตัวอย่างการยกกำลัง 2 โดยระบุว่า ให้ปัดตัวเลข
เพื่อให้เหลือตัวคูณเพียง 1 หลัก
อาทิ 23ยกกำลัง2 ซึ่งแยกได้เป็น 23x23 ให้ปัดตัวเลขขึ้น-ลงเป็น 26x20 = 520
แล้วบวกเข้ากับจำนวนยกกำลังสองของค่าที่ปัดขึ้น-ลง ซึ่งในตัวอย่างนี้คือ 3ยกกำลัง2
จะได้คำตอบเป็น 529 อีกตัวอย่างคือ 78ยกกำลัง2 ปัดได้เป็น (80x76) + 2ยกกำลัง2 = 6,084

ส่วนการหารเลขยกกำลังนั้น ไม่แตกต่างจากที่วิธีคิดเดิมเท่าไหร่ เนื่องจากปกติเราหารจากซ้ายไปขวาอยู่แล้ว
ชา ครีย์กล่าวกับทีมข่าววิทยาศาสตร์ว่า อานิสงส์จากการแปลหนังสือ ทำให้เขาได้เรียนรู้เทคนิคการคิดเลขในใจ
ซึ่งวิธีที่ได้ประโยชน์มากคือการคำนวณเลขยกกำลัง ซึ่ง ดร.เบนจามินสอนวิธีคำนวณถึงเลข 5 หลัก แต่เขาทำได้ที่เลข 2-3 หลัก
ซึ่งการคิดเลขในใจให้เร็วนั้นเขาบอกว่าต้องหมั่นฝึกฝนด้วย ซึ่งวิธีตามหนังสือที่เขาแปลนั้นช่วยได้

ประวัติพระพุทธเจ้า

"ศาสนาพุทธ" เป็นศาสนาประจำชาติไทยของเรา แล้วมีสักกี่คนเอ่ย...ที่ทราบถึงประวัติของ "พระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ผู้ทรงเป็น "พระศาสดา" ของ "พระพุทธศาสนา" วันนี้กระปุกจึงนำเรื่องราวพุทธประวัติ หรือ ประวัติพระพุทธเจ้า มาฝากกันค่ะ

พระพุทธเจ้าทรงมีพระนามเดิมว่า "สิทธัตถะ" หมายถึง ผู้ที่สำเร็จความมุ่งหมายแล้ว หรือผู้ปรารถนาสิ่งใด ย่อมได้สิ่งนั้น ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ กษัตริย์ผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ และ "พระนางสิริมหามายา" พระราชธิดาของกษัตริย์ราชสกุลโกลิยวงศ์แห่งกรุงเทวทหะ แคว้นโกลิยะ

ในคืนที่พระพุทธเจ้าเสด็จปฏิสนธิในครรภ์พระนางสิริมหามายา พระนางทรงพระสุบินนิมิตว่า มีช้างเผือกมีงาสามคู่ได้เข้ามาสู่พระครรภ์ ณ ที่บรรทม ก่อนที่พระนางจะมีพระประสูติกาล ที่ใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินีวัน เมื่อวันศุกร์ ขึ้นสิบห้าค่ำ เดือนวิสาขะ ปีจอ 80 ปีก่อนพุทธศักราช (ปัจจุบันสวนลุมพินีวันอยู่ในประเทศเนปาล)

ทันทีที่ประสูติ เจ้าชายสิทธัตถะทรงดำเนินด้วยพระบาท 7 ก้าว และมีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับพระบาท พร้อมเปล่งพระวาจาว่า "เราเป็นเลิศที่สุดในโลก ประเสริฐที่สุดในโลก การเกิดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของเรา" แต่หลังจากเจ้าชายสิทธัตถะประสูติกาลได้แล้ว 7 วัน พระนางสิริมหามายาก็เสด็จสวรรคาลัย เจ้าชายสิทธัตถะจึงอยู่ในความดูแลของพระนางประชาบดีโคตมี ซึ่งเป็นพระกนิษฐาของพระนางสิริมหามายา

ทั้งนี้ พราหมณ์ ทั้ง 8 ได้ทำนายว่า เจ้าชายสิทธัตถะมีลักษณะเป็นมหาบุรุษ คือ หากดำรงตนในฆราวาสจะได้เป็นจักรพรรดิ ถ้าออกบวชจะได้เป็นศาสดาเอกของโลก แต่โกณฑัญญะพราหมณ์ผู้อายุน้อยที่สุดในจำนวนนั้น ยืนยันหนักแน่นว่า พระราชกุมารสิทธัตถะจะเสด็จออกบวช และจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน


ประวัติพระพุทธเจ้า : ชีวิตในวัยเด็ก

เจ้าชายสิทธัตถะทรงศึกษาเล่าเรียนจนจบศิลปศาสตร์ทั้ง 18 ศาสตร์ ในสำนักครูวิศวามิตร และเนื่องจากพระบิดาไม่ประสงค์ให้เจ้าชายสิทธัตถะเป็นศาสดาเอกของโลก จึงพยายามทำให้เจ้าชายสิทธัตถะพบเห็นแต่ความสุข โดยการสร้างปราสาท 3 ฤดู ให้อยู่ประทับ และจัดเตรียมความพร้อมสำหรับการราชาภิเษกให้เจ้าชายขึ้นครองราชย์

เมื่อมีพระชนมายุ 16 พรรษา ทรงอภิเษกสมรสกับพระนางพิมพา หรือยโสธรา พระธิดาของพระเจ้ากรุงเทวทหะซึ่งเป็นพระญาติฝ่ายพระมารดา จนเมื่อมีพระชนมายุ 29 พรรษา พระนางพิมพาได้ให้ประสูติพระราชโอรส มีพระนามว่า "ราหุล" ซึ่งหมายถึง "บ่วง"


ประวัติพระพุทธเจ้า : เสด็จออกผนวช




ประวัติพระพุทธเจ้า



วันหนึ่งเจ้าชายสิทธัตถะทรงเบื่อความจำเจในปราสาท 3 ฤดู จึงชวนสารถีทรงรถม้าประพาสอุทยาน ครั้งนั้นได้ทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช โดยเทวทูต (ทูตสวรรค์) ที่แปลงกายมา พระองค์จึงทรงคิดได้ว่า นี่เป็นธรรมดาของโลก ชีวิตของทุกคนต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงเกิด แก่ เจ็บ ตายได้ จึงทรงเห็นว่าความสุขทางโลกเป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น และวิถีทางที่จะพ้นจากความทุกข์ คือต้องครองเรือนเป็นสมณะ ดังนั้นพระองค์จึงใคร่จะเสด็จออกบรรพชา ในขณะที่มีพระชนม์ 29 พรรษา

ครานั้นพระองค์ได้เสด็จไปพร้อมกับนายฉันทะ สารถี ซึ่งเตรียมม้าพระที่นั่ง นามว่ากัณฑกะ มุ่งตรงไปยังแม่น้ำอโนมานที ก่อนจะประทับนั่งบนกองทราย ทรงตัดพระเมาลีด้วยพระขรรค์ และเปลี่ยนชุดผ้ากาสาวพัตร์ (ผ้าย้อมด้วยรสฝาดแห่งต้นไม้) และให้นายฉันทะ นำเครื่องทรงกลับพระนคร ก่อนที่พระองค์จะเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ (การเสด็จออกเพื่อคุณอันยิ่งใหญ่) ไปโดยเพียงลำพัง เพื่อมุ่งพระพักตร์ไปยังแคว้นมคธ


ประวัติพระพุทธเจ้า : บำเพ็ญทุกรกิริยา

หลังจากทรงผนวชแล้ว พระองค์มุ่งไปที่แม่น้ำคยา แคว้นมคธ ได้พยายามเสาะแสวงทางพ้นทุกข์ ด้วยการศึกษาค้นคว้าทดลองในสำนักอาฬารดาบส กาลามโครตร และอุทกดาบส รามบุตร แต่เมื่อเรียนจบทั้ง 2 สำนักแล้ว ทรงเห็นว่านี่ยังไม่ใช่ทางพ้นทุกข์

จากนั้นพระองค์ได้เสด็จไปที่แม่น้ำเนรัญชรา ในตำบลอุรุเวลาเสนานิคม และทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา ด้วยการขบฟันด้วยฟัน กลั้นหายใจและอดอาหาร จนร่างกายซูบผอม แต่หลังจากทดลองได้ 6 ปี ทรงเห็นว่านี่ยังไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ จึงทรงเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา และหันมาฉันอาหารตามเดิม ด้วยพระราชดำริตามที่ท้าวสักกเทวราชได้เสด็จลงมาดีดพิณถวาย 3 วาระ คือดีดพิณสายที่ 1 ขึงไว้ตึงเกินไปเมื่อดีดก็จะขาด ดีดพิณวาระที่ 2 ซึ่งขึงไว้หย่อน เสียงจะยืดยาดขาดความไพเราะ และวาระที่ 3 ดีดพิณสายสุดท้ายที่ขึงไว้พอดี จึงมีเสียงกังวานไพเราะ ดังนั้นจึงทรงพิจารณาเห็นว่า ทางสายกลางคือไม่ตึงเกินไป และไม่หย่อนเกินไป นั่นคือทางที่จะนำสู่การพ้นทุกข์

หลังจากพระองค์เลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา ทำให้พระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ได้แก่ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยา มหานามะ อัสสชิ ที่มาคอยรับใช้พระองค์ด้วยความคาดหวังว่าเมื่อพระองค์ค้นพบทางพ้นทุกข์ จะได้สอนพวกตนให้บรรลุด้วย เกิดเสื่อมศรัทธาที่พระองค์ล้มเลิกความตั้งใจ จึงเดินทางกลับไปที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ตำบลสารนาถ เมืองพาราณสี


ประวัติพระพุทธเจ้า : ตรัสรู้





ประวัติพระพุทธเจ้า




ครานั้นพระองค์ทรงประทับนั่งขัดสมาธิ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ อุรุเวลาเสนานิคม เมืองพาราณสี หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก และตั้งจิตอธิษฐานด้วยความแน่วแน่ว่าตราบใดที่ยังไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ ก็จะไม่ลุกขึ้นจากสมาธิบัลลังก์ แม้จะมีหมู่มารเข้ามาขัดขวาง แต่ก็พ่ายแพ้พระบารมีของพระองค์กลับไป จนเวลาผ่านไปในที่สุดพระองค์ทรงบรรลุรูปฌาณ คือ ครานั้นพระองค์ทรงประทับนั่งขัดสมาธิ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ อุรุเวลาเสนานิคม เมืองพาราณสี หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก และตั้งจิตอธิษฐานด้วยความแน่วแน่ว่าตราบใดที่ยังไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ ก็จะไม่ลุกขึ้นจากสมาธิบัลลังก์ แม้จะมีหมู่มารเข้ามาขัดขวาง แต่ก็พ่ายแพ้พระบารมีของพระองค์กลับไป จนเวลาผ่านไปในที่สุดพระองค์ทรงบรรลุรูปฌาณ คือ

ยามต้น หรือปฐมยาม ทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสติญาณ คือ สามารถระลึกชาติได้

ยามสอง ทางบรรลุจุตูปปาตญาณ (ทิพยจักษุญาณ) คือ รู้เรื่องการเกิดการตายของสัตว์ทั้งหลายว่าเป็นไปตามกรรมที่กำหนดไว้

ยามสาม ทรงบรรลุอาสวักขยญาณ คือ ความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะ หรือกิเลส ด้วยอริยสัจ 4 ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค และได้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นศาสดาเอกของโลก ซึ่งวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 ขณะที่มีพระชนม์ 35 พรรษา


ประวัติพระพุทธเจ้า : แสดงปฐมเทศนา

หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ทรงพิจารณาธรรมที่พระองค์ตรัสรู้มาเป็นเวลา 7 สัปดาห์ และทรงเห็นว่าพระธรรมนั้นยากต่อบุคคลทั่วไปที่จะเข้าใจและปฏิบัติได้ พระองค์จึงทรงพิจารณาว่า บุคคลในโลกนี้มีหลายจำพวกอย่าง บัว 4 เหล่า ที่มีทั้งผู้ที่สอนได้ง่าย และผู้ที่สอนได้ยาก พระองค์จึงทรงระลึกถึงอาฬารดาบสและอุทกดาบส ผู้เป็นพระอาจารย์ จึงหวังเสด็จไปโปรด แต่ทั้งสองท่านเสียชีวิตแล้ว พระองค์จึงทรงระลึกถึงปัญจวัคคีย์ ทั้ง 5 ที่เคยมาเฝ้ารับใช้ จึงได้เสด็จไปโปรดปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน

ธรรมเทศนากัณฑ์แรกที่พระองค์ทรงแสดงธรรมคือ "ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร" แปลว่าสูตรของการหมุนวงล้อแห่งพระธรรมให้เป็นไป ซึ่งถือเป็นการแสดงพระธรรมเทศนาครั้งแรก ในวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ซึ่งตรงกับวันอาสาฬหบูชา

ในการนี้พระโกณฑัญญะได้ธรรมจักษุ คือดวงตาเห็นธรรมเป็นคนแรก พระพุทธองค์จึงทรงเปล่งวาจาว่า "อัญญาสิ วตโกณฑัญโญ" แปลว่า โกณฑัญญะได้รู้แล้ว ท่านโกณฑัญญะ จึงได้สมญาว่า อัญญาโกณฑัญญะ และได้รับการบวชเป็นพระสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา โดยเรียกการบวชที่พระพุทธเจ้าบวชให้ว่า "เอหิภิกขุอุปสัมปทา"

หลังจากปัญจวัคคีย์อุปสมบททั้งหมดแล้ว พุทธองค์จึงทรงเทศน์อนัตตลักขณสูตร ปัญจวัคคีย์จึงสำเร็จเป็นอรหันต์ในเวลาต่อมา


ประวัติพระพุทธเจ้า : การเผยแผ่พระพุทธศาสนา

ต่อมาพระพุทธเจ้าได้เทศน์พระธรรมเทศนาโปรดแก่ยสกุลบุตร รวมทั้งเพื่อนของยสกุลบุตร จนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด รวม 60 รูป

พระพุทธเจ้าทรงมีพระราชประสงค์จะให้มนุษย์โลกพ้นทุกข์ พ้นกิเลส จึงตรัสเรียกสาวกทั้ง 60 รูป มาประชุมกัน และตรัสให้พระสาวก 60 รูป จาริกแยกย้ายกันเดินทางไปประกาศศาสนา 60 แห่ง โดยลำพัง ในเส้นทางที่ไม่ซ้ำกัน เพื่อให้สามารถเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้ในหลายพื้นที่อย่างครอบคลุม ส่วนพระองค์เองได้เสด็จไปแสดงธรรม ณ ตำบลอุรุเวลา เสนานิคม

หลังจากสาวกได้เดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในพื้นที่ต่างๆ ทำให้มีผู้เลื่อมใสพระพทุธศาสนาเป็นจำนวนมาก พระองค์จึงทรงอนุญาตให้สาวกสามารถดำเนินการบวชได้ โดยใช้วิธีการ "ติสรณคมนูปสัมปทา" คือ การปฏิญาณตนเป็นผู้ถึงพระรัตนตรัย พระพุทธศาสนาจึงหยั่งรากฝังลึกและแพร่หลายในดินแดนแห่งนั้นเป็นต้นมา


ประวัติพระพุทธเจ้า : เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน





ประวัติพระพุทธเจ้า



พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จโปรดสัตว์และแสดงพระธรรมเทศนา ตลอดระยะเวลา 45 พรรษา ทรงสดับว่า อีก 3 เดือนข้างหน้าจะปรินิพพาน จึงได้ทรงปลงอายุสังขาร ขณะนั้นพระองค์ได้ประทับจำพรรษา ณ เวฬุคาม ใกล้เมืองเวลาสี แคว้นวัชชี โดยก่อนเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน 1 วัน พระองค์ได้เสวยสุกรมัททวะที่นายจุนทะทำถวาย แต่เกิดอาพาธลง ทำให้พระอานนท์โกรธ แต่พระองค์ตรัสว่า "บิณฑบาตที่มีอานิสงส์ที่สุด มี 2 ประการ คือ เมื่อตถาคต (พุทธองค์) เสวยบิณฑบาตแล้วตรัสรู้ และปรินิพพาน" และมีพระดำรัสว่า "โย โว อานนท ธมม จ วินโย มยา เทสิโต ปญญตโต โส โว มมจจเยน สตถา" อันแปลว่า "ดูก่อนอานนท์ ธรรมและวินัยอันที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย ธรรมวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว"

พระพุทธเจ้าทรงประชวรหนัก แต่ทรงอดกลั้นมุ่งหน้าไปยังเมืองกุสินารา ประทับ ณ ป่าสาละ เพื่อเสด็จดับขันธุ์ปรินิพพาน โดยก่อนที่จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานนั้น พระองค์ได้อุปสมบทแก่พระสุภัททะปริพาชก ซึ่งถือได้ว่า "พระสุภภัททะ" คือสาวกองค์สุดท้ายที่พระพุทธองค์ทรงบวชให้ ในท่ามกลางคณะสงฆ์ทั้งที่เป็นพระอรหันต์ และปุถุชนจากแคว้นต่างๆ รวมทั้งเทวดา ที่มารวมตัวกันในวันนี้

ในครานั้นพระองค์ทรงมีปัจฉิมโอวาทว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราขอบอกเธอทั้งหลาย สังขารทั้งปวงมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา พวกเธอจึงทำประโยชน์ตนเอง และประโยชน์ของผู้อื่นให้สมบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด" (อปปมาเทน สมปาเทต)

จากนั้นได้เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ใต้ต้นสาละ ณ สาลวโนทยาน ของเหล่ามัลลกษัตริย์ เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 รวมพระชนม์ 80 พรรษา และวันนี้ถือเป็นการเริ่มต้นของพุทธศักราช